17 มิถุนายน 2551

...เรื่องนี้เกี่ยวกับ "นม" ครับ...

...เรื่องนี้เกี่ยวกับ “นม”...

ก่อนที่จะเข้าสู่เนื้อความภายในนะครับ ผมต้องขอบอกก่อนว่า เรื่องที่เพื่อนๆกำลังจะได้อ่านต่อไปนี้มีความเกี่ยวข้องกับ “นม”ล้วนๆเลยนะครับ ไม่ใช่นมเม็ด นมผง หรือน้ำนมในกล่องยูเอชทีอย่างที่หลายคนพยายามจะคิดแน่นอนครับ มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ “นม”เน้นๆ ครับ นมของมนุษย์เรานี่แหละครับ นมที่มีลักษณะนามว่า “เต้า” อ่ะครับ แล้วก็จะเน้นไปที่นมของผู้หญิงด้วยนะครับ ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่าผมได้ลองวิเคราะห์และเปรียบเทียบดูแล้วว่า นมของผู้ชายนั้นไม่ได้มีอิทธิพลใดๆกับสภาพสังคมและสภาพจิตใจได้เทียบเท่ากับนมของผู้หญิงอย่างแน่นอน จึงขอเขียนเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับนมของผู้หญิงเท่านั้นครับ ดังนั้นสำหรับเพื่อนๆที่คิดว่ามันเป็นเรื่องลามกน่ารังเกียจแล้วล่ะก็ แนะนำให้ไปอ่านเรื่องอื่นๆก่อนหน้าจะดีกว่านะครับ
เอาล่ะครับ หลังจากที่ได้เตือนกันไปแล้วในย่อหน้าข้างบน ผมเชื่อว่าคงยังจะได้เจอกับเพื่อนๆทุกคนอยู่ดีเพราะเชื่อว่าเรื่องเกี่ยวกับ “นม” ที่ผมกำลังจะเขียนต่อไปนี้มันต้องมีประเด็นที่น่าสนใจอยู่อย่างแน่นอนใช่มั้ยครับ แน่นอนว่าเพื่อนๆคิดไม่ผิดหรอกครับ “นม”ของผู้หญิงนั้นเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากที่สุดสิ่งหนึ่งบนโลก

แต่อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าผมเป็นไอ้พวกโรคจิตชอบแอบดูนมของคนอื่นนะครับ เรื่องของ “นม” ที่ผมจะพูดถึงนั้นเกี่ยวกับอิทธิพลต่างๆในสังคมที่มันเกิดขึ้นจากนมเพียงหนึ่งเต้าหรือหลายเต้า รวมถึงพฤติกรรมการใช้นมอย่างผิดประภทของมนุษย์และจะวนมาจบที่ความรู้สึกของมนุษย์เมื่อได้ใช้นมอย่างถูกวิธีกันครับ

เริ่มจากเรามาลองวิเคราะห์วัตถุประสงค์ของการสร้าง “นม”ในสิ่งมีชีวิตกันก่อนนะครับ จากการที่ได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับระบบร่างกายของสิ่งมีชีวิตมาบ้าง ทำให้พอจะสรุปหน้าที่หลักของนมในสิ่งมีชีวิตได้ว่า เอาไว้ใช้สำหรับเก็บน้ำนมที่จะถูกผลิตขึ้นเพื่อเตรียมใช้เป็นอาหารมื้อแรกของทายาทตัวน้อยที่กำลังจะออกมาลืมตาดูโลก ซึ่งในน้ำนมนั้นจะมีสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตอย่างครบถ้วนและเจ้าตัวเล็กที่เพิ่งเกิดมาก็ต้องอาศัยน้ำนมนี้เป็นอาหารหลักจนกว่าจะโต ดังนั้นน้ำนมที่ถูกผลิตขึ้นจึงมีปริมาณที่มากพอสมควร ด้วยเหตุนี้เอง “นม” จึงมีลักษณะเป็นถุงน้ำที่นุ่มนิ่มที่จุได้เยอะและสามารถใช้ปากดูดได้อย่างไม่ระคายเคือง ซึ่งลักษณะตามที่กล่าวมานี้จึงไปปรากฏอยู่ที่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด ด้วยวัตถุประสงค์เดียวกันนั่นคือ

ใช้นมเพื่อการ “เลี้ยงลูก” นั่นเอง

จะมีก็แต่มนุษย์เท่านั้นครับที่แตกต่างออกไป เพราะนอกจากมนุษย์จะใช้ประโยชย์จาก “นม” ในการเลี้ยงลูกแล้ว มนุษย์ยังใช้นมในวัตถุประสงค์อื่นๆอีกมากมาย เนื่องจากว่า “นม” ในสังคมมนุษย์นั้นนอกจากจะถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเลี้ยงลูกแล้ว ในยุคแรกเริ่มนั้นยังเชื่อว่า “นม” ในมนุษย์ทำหน้าที่เป็นสิ่งเร้าตามธรรมชาติที่จะกระตุ้นให้มนุษย์เกิดกระบวนการสืบพันธุ์เพื่อขยายพันธุ์อีกด้วย แต่เนื่องจากมนุษย์เราเป็นสัตว์เพียงชนิดเดียวที่สามารถทำตัวอยู่เหนือธรรมชาติและอีกทั้งยังสามารถควบคุมสัญชาตญาณสัตว์ป่าที่อยู่ในตัวได้ เราจึงเป็นสัตว์เพียงชนิดเดียวที่สามารถเข้าสู่กระบวนการร่วมเพศได้โดยปราศจากเงื่อนไขเรื่องการสืบพันธุ์ แต่กลับร่วมเพศกันเพื่อสนองความต้องการและความสุขสมทางอารมณ์เสียมากกว่า ดังนั้น “นม” จึงถือเป็นสิ่งเร้าชั้นดีที่ผู้หญิงหลายคนอยากได้อยากมีถึงขนาดยอมไปทำศัลยกรรมเพื่อให้มันดูเย้ายวนใจ เพราะว่าพอมี “นม” แล้วงานก็มา เงินก็มา ผู้ชายก็มาและอีกหลายๆอย่างก็ตามมาอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่เชื่อลองดูดาราบนจอทีวีสิครับแค่นมใหญ่ก็ดังแล้ว หรือใครอยากดังก็แค่ทำนมหก ถึงมันจะฟังดูขำๆ แต่เอาเข้าจริงก็ได้ผลทุกราย จนทำให้เรารู้สึกว่า “นม” น่าจะเป็นอวัยวะที่สามรองจากมือและเท้าที่สามารถใช้ไต่ขึ้นที่สูงได้ หรือที่เราเรียกกันว่า “ไต่เต้า” กันนั่นแหละครับ (อันที่จริงควรจะเรียกว่าเอาเต้าไต่เสียมากกว่า)(ฮา) อีกทั้งเรื่อง “นมใหญ่” หรือ “นมเล็ก” ก็เป็นเรื่องใหญ่สำหรับผู้หญิงหลายคน จนเกือบจะเป็นเรื่องหลักๆที่ถูกทักหลังจากที่สนิทกันแล้วด้วยซ้ำ ทั้งที่มีอวัยวะส่วนอื่นให้ทักให้สังเกตุกันมากมาย แต่ก็ไม่เคยมีใครที่จะสามารถหลุดพ้นออกไปจากอิทธิพลของมันได้เลย จนกลายเป็นคำล้อประจำวัฒนธรรมไทยของเราไปแล้ว ยกตัวอย่างเช่น...อกไข่ดาว...อกลูกเกดแปะผนัง...อกไม้กระดาน...แยกไม่ออกเลยว่าด้านไหนคือด้านหน้า ด้านไหนคือด้านหลัง ฯลฯ รวมถึงผู้ชายบางคนยังเอาเหตุผลนี้มาเป็นข้ออ้างในการ “เลือก” หรือ “เลิก” เสียด้วยซ้ำ นั่นก็เป็นเพราะอิทธิพลของ “นม” ที่มันส่งผลกับสังคมเรานั่นเองครับ
จากทั้งหมดที่กล่าวมานั้นจะเห็นได้ว่าอิทธิพลของ “นม” นั้นมีมากมายขนาดไหนใช่มั้ยครับ ปัจจุบันมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทยไปโดยปริยายและพัฒนากลายเป็นความเชื่อหลักที่ดูจริงจังจนบางครั้งถึงกับต้องห้ามนำเรื่องพวกนี้มาล้อเลียนกัน เพราะถือว่ามันคือ “ปมด้อย” ที่ไม่ควรนำมากล่าวซ้ำเติมกันเลยทีเดียวครับและสุดท้ายยังมีอีกหนึ่งคุณประโยชน์ที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้เลยก็คือ “การใช้นมเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญในการร่วมเพศของมนุษย์”

“การใช้นมเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญในการร่วมเพศของมนุษย์” นั้นถือเป็นการใช้นมอย่างผิดวัตุประสงค์ในการสร้างที่ดูจะจริงจังและมีความเป็นสากลที่สุดเมื่อเทียบกับเรื่องอื่นๆ อีกทั้งมันยังได้พัฒนาจนกลายไปเป็นแบบแผนในการมีเพศสัมพันธุ์ของมนุษย์ ที่ใช้ปฏิบัติกันจนเป็นเรื่องปกติไปซะแล้ว มาถึงย่อหน้านี้ผมก็ยังขอย้ำนะครับว่า ไม่ได้มีเจตนาจะเขียนเรื่องลามกอนาจารแต่อย่างใด เพียงแต่มันมีความสำคัญมากที่ผมจะต้องยกเอาเรื่องบทบาทของนมในการร่วมเพศมาเปรียบเทียบให้เห็นกันก่อน เนื่องจากมันจะทำให้เกิดข้อเปรียบเทียบที่ชัดเจนในบทสรุปตอนท้าย ซึ่งยังให้คำแนะนำเพื่อนๆเหมือนเดิมคือ ...ไม่เหมาะสำหรับคนขวัญอ่อนนะครับ....(ฮา)

ปัจจุบัน “นม” ถือเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญมากไม่แพ้อวัยวะอื่นใดในการร่วมเพศของมนุษย์นะครับ เพราะเป็นจุดสำคัญในการเล้าโลมโหมอารมณ์และยังเป็นอวัยวะที่สามารถใช้งานได้ตลอดเวลาที่ดำเนินภาระกิจ เนื่องด้วยลักษณะของนมนั้นมีลักษณะเป็นถุงนุ่มนิ่ม ยื่นออกมาจากร่างกาย มีจงอยเล็กๆนิ่มๆยื่นออกมาจากตำแหน่งกึ่งกลางเต้า หรือที่เราเรียกว่า “หัวนม” นั่นเองครับ มันใช้ทำหน้าที่เป็นท่อปลายทางของการลำเลียงน้ำนมอันมากด้วยคุณค่ามาสู่ปากของลูกน้อยในยามที่มนุษย์เราต้องแปลงสภาพกลายเป็น “แม่”นั่นเองครับ ซึ่งเราจะคุ้นเคยกับมันมาตั้งแต่เราลืมตาออกมาดูโลกเป็นครั้งแรก ตั้งแต่ยังจำอะไรไม่ได้ด้วยซ้ำไป อีกทั้งขนาดของ “นม” นั้นยังมีขนาดพอเหมาะพอดีกับมือของมนุษย์ ดังนั้นเราจึงสามารถ “ใช้งาน” “นม” ได้โดยสัญชาตญาณอย่างที่ไม่ต้องมีใครมาสอน นั่นคือการ...บีบ...คลึง...เค้น...ขยำ...เลีย...และที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ “การดูด”ครับ ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่าอาการของคนที่โดน “ดูด”นมนั้น จะมีอาการสุขเสียวสะท้านไปทั้งร่างกายจนถือได้ว่าเป็นพฤติกรรมหนึ่งที่จะละเลยไม่ได้ในการร่วมเพศเลยทีเดียว (อันนี้ผมสังเกตุจากภาพยนต์ญี่ปุ่นหลายๆเรื่องอ่ะนะครับ โปรดอย่าได้คิดเป็นอื่น)

แต่จุดนี้นี่แหละครับที่มันสำคัญ(เฮ้อออ ได้เข้าเรื่องซะที เขียนจนจะกลายเป็นนิยายอีโรติกอยู่แล้ว เหอๆ)ที่ว่ามันสำคัญนั้นก็คือ มันเริ่มจากความสงสัยใคร่รู้ของผมเองที่ว่า มนุษย์เพศหญิงนั้นเมื่อเข้าสู่ระบบการสืบพันธุ์ “นม” ของเธอจะถูกใช้โดยจุดประสงค์อื่นก่อนที่จะได้มาใช้เป็นถุงเสบียงสำหรับเจ้าตัวน้อย ดังนั้นอย่างที่ได้บอกไปแล้วว่า การที่เราใช้นมในการร่วมเพศนั้นมันจะก่อให้เกิดความรู้สึกแบบไหน ซึ่งถ้าการร่วมเพศนั้นเป็นไปในระยะที่อุดมสมบูรณ์ของฝ่ายหญิง เธอก็จะให้กำเนิดเจ้าตัวน้อยออกมา ตอนนี้แหละครับที่ผมสงสัยมากว่า ตอนที่ผู้หญิงจะต้องเปลี่ยนหน้าที่ของ “นม” จากเป็นอวัยวะที่สร้างความสุขสมให้กับตนและคู่รัก ให้กลายมาเป็น อวัยวะที่ใช้สำหรับมอบสารอาหารแก่ลูกน้อย ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นมันจะเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร ในเมื่อการใช้งานนั้นมันมันต้องใช้กิริยาอาการ “ดูด” เหมือนกัน ที่ตัวผมเองเกิดข้อสงสัยนี้ไม่ได้มีเจตนาที่จะดูถูกเพศแม่แต่อย่างใดนะครับ เพราะผมเองก็รักแม่ของผมมาก เพียงแต่มองมันอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ว่า

.......ถ้าไอ้ต่อมรับความรู้สึกจากการดูดนั้นมันยังเป็นต่อมเดิม ดังนั้นถ้าเกิดกิริยาเดิมขึ้นที่บริเวณนั้นมันก็น่าจะให้ความรู้สึกแบบเดิมด้วย.......ไม่ใช่หรือครับ

แต่สิ่งที่น่าแปลกคือคำตอบจากเหล่าเพื่อนๆผู้หญิงของผมต่างหากครับ เธอมีเจ้าตัวน้อยกันทุกคนแล้วผมจึงไม่อายที่จะถามกันตรงๆว่า ไอ้ความรู้สึกตอนที่โดนเจ้าตัวน้อยดูดนมเป็นครั้งแรกเนี่ย มันรู้สึกยังไง เสียวแปล๊บ จั๊กจี้ คันหรืออะไรอีกมากมายที่ผมยกตัวอย่างให้เธอเลือก แต่เพื่อนๆเชื่อมั้ยครับคำตอบที่ผมได้รับจากปากเพื่อนทุกคนก็คือ....

“เจ็บ”
แต่มันเป็นความเจ็บที่แปลกประหลาด เพราะว่ามันรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก มันรู้สึกเหมือนชีวิตของเรากับเจ้าตัวน้อยที่ปากกำลังดูดอยู่ที่นมของแม่อย่างเอาจริงเอาจังมันหลอมรวมกันเป็นร่างเดียว อบอุ่นมากๆ อบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก เพื่อนของผมบางคนถึงกับน้ำตาไหลร้องไห้ออกมา เธอว่ามันเป็นความรู้สึกที่ดีมากอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน คนแล้วคนเล่าที่ผมเฝ้าถามเพื่อหาคำตอบที่เป็นกลางแต่ไม่มีครั้งใดเลยที่ผมจะได้คำตอบอย่างอื่น
คงเป็นนี่กระมังสิ่งที่จะเปลี่ยนโลกนี้ได้ สิ่งที่อยู่เหนือกฏเกณฑ์ทุกอย่าง สิ่งที่ทำให้ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงได้เสมอ สิ่งที่แม้แต่ระบบประสาทอันแสนเที่ยงตรงของมนุษย์ก็ยังต้องหลีกทางให้กับ...

... “จิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก” ...

ที่แม่ผู้ให้กำเนิดถ่ายทอดออกมาสู่ลูกน้อยเป็นสายใยที่แน่นเหนียวที่สุดในโลกนี้ นี่กระมังคือความลับของจักรวาลที่ทำให้โลกนี้ยังคงน่าอยู่มาจนถึงปัจจุบัน

.......................ดังนั้น เรามารักคุณแม่กันให้มากๆนะครับ...(ยิ้ม)........................

ปล.บอกแล้วว่าไม่ลามก อิอิ เห็นมั้ย อ่านแล้วก็ยิ้มกันทุกคน เหอๆ กริ๊วววววววววววววววววววววววววววว

15 มิถุนายน 2551

...เทคโนโลยีดีจริงหรือ?...

เทคโนโลยีทางการแพทย์ในปัจจุบันก้าวล้ำไปมากแล้วนะครับสำหรับโลกใบนี้ ทุกวันนี้เราสามารถทำอะไรได้หลายอย่างที่ไม่เคยทำได้มาก่อน ทำได้แม้กระทั่งการสร้างสิ่งมีชีวิตแบบก๊อปปี้หรือที่เราเรียกว่า “โคลนนิ่ง” ขึ้นมาใหม่ อาจเป็นไปได้ว่า วันหนึ่งโลกของเราอาจกลายเป็นโลกแบบหนังเรื่อง “the Island” สำหรับคนที่ไม่เคยดูนะครับ หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เปิดตัวด้วยชีวิตของคนกลุ่มนึงที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เราไม่คุ้นเคย ซึ่งเรามารู้ภายหลังว่ามันคือโลกจำลองที่ถูกสร้างขึ้นไว้เพื่อให้เหล่ามนุษย์ที่ถูกโคลนนิ่งขึ้นมาได้อาศัยเพื่อรอวันที่จะถูกนำไปชำแหละเอาชิ้นส่วนใดชิ้นส่วนหนึ่งไปทดแทนให้กับเจ้าของร่างกายต้นแบบ อธิบายให้เข้าใจง่ายๆก็คือคนเหล่านี้ถูกโคลนขึ้นมาเพื่อฆ่าเอาอวัยวะนั่นแหละครับ มีชีวิตเกิดมาเพื่อรอวันตายเท่านั้น ฟังดูน่าเศร้าเนอะ ว่ามั้ยครับ
แต่อย่ากังวลไปเลยครับ เรื่องที่จะเอามาเล่าวันนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับหนังเรื่องนี้หรือการโคลนนิ่งใดๆครับ ผมเพียงไปพบเจอข้อสังเกตุที่น่าคิดบางประการเกี่ยวกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทางการแพทย์ของมนุษย์เรา ว่าในท้ายที่สุดแล้วมันจะก่อให้เกิดประโยชน์กับวิวัฒนาการของเราจริงหรือ เรื่องมันมีอยู่ว่า.....
เย็นวันนี้น้องอ้อ(สุดที่รักของผม)เพิ่งกลับจากฝึกงานอ่ะนะครับ อ่อ ลืมบอกไปว่าน้องอ้อเรียนสัตวแพทยศาสตร์อยู่ที่จุฬาฯครับ แล้ววันนี้มีเรื่องมาเล่าให้ผมฟังเกี่ยวกับเคสที่เจอสองวันติดกัน นั่นก็คือเคสที่น้องหมาคลอดลูกไม่ได้ครับ เจ้าของเลยต้องเอามาที่โรงพยาบาลเพื่อให้คุณหมอผ่าออก อืมมม ดูจะเป็นเรื่องที่แสนธรรมดาไปแล้วใช่มั้ยครับสำหรับการดูแลสุนัข ที่ปัจจุบันเจ้าของบางคนรักเหมือนกับลูกของตัวเองเลย ดังนั้นการดูแลอะไรหลายๆอย่างจึงคล้ายคนเข้าไปทุกทีแม้กระทั่งการคลอดลูก (ไม่รู้ว่าในอนาคตจะมีการบล็อคหลังแล้วให้เจ้าของเข้าไปดูตอนผ่าด้วยหรือเปล่า.....เหอๆ )
ด้วยตัวผมเองนั้นมีประสบการณ์ในการเลี้ยงน้องหมามาตั้งแต่เด็กครับ เพราะคุณพ่อและคุณแม่ชอบหมา ผมเองจึงได้มีประสบการณ์ร่วมในเหตุการณ์ที่น้องหมาที่แสนน่ารักจะคลอดลูกบ่อยครั้ง เลี้ยงหมามาหลายสิบตัว เห็นหมาคลอดมาหลายสิบครั้ง คลอดออกมามีตายไปบ้างแต่ก็รอดซะส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่เคยจะไปทำอะไรมัน ไม่เคยสนใจที่จะจับมันไปทำอัลตร้าซาวน์อย่างที่คนทุกวันนี้ทำกัน ได้แต่ปล่อยให้มันเป็นธรรมชาติของมันเท่านั้นเอง ไม่รู้ว่าถูกหรือผิด เพียงแต่คิดว่าทางออกตามธรรมชาติน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
บ่อยครั้งนะครับที่มนุษย์เรามักเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางในการตัดสินว่าอะไรดี อะไรไม่ดีอยู่เสมอๆ ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้วสิ่งอื่นที่เราคิดว่ามันแย่สำหรับเรา มันอาจจะดีที่สุดสำหรับบางชีวิตก็เป็นได้ ซึ่งนั่นมันก็เป็นเพราะว่าเราเกิดมาแตกต่างกันนั่นเอง มีใครเคยรู้บ้างมั้ยครับว่าน้องหมามันชอบมั้ยที่ถูกจับแต่งตัวประหลาด อาจดูน่ารักในสายตามนุษย์แต่ความรู้สึกจริงๆของมันแล้วมันชอบหรือเปล่า ถ้าเทียบกับได้อยู่แบบปล่อยขนโล่งๆ มันจะชอบอันไหนมากกว่ากัน หรือแม้แต่เรื่องนี้ เรื่องที่เพิ่งเล่าไปเกี่ยวกับการผ่าตัดทำคลอดให้หมา จะต่างกันนิดหน่อยก็ตรงที่เรื่องนี้มันเกี่ยวกับความเป็นความตายมากกว่าความสวยงามก็เท่านั้น
ผมเชื่อในพลังแห่งธรรมชาติมาตลอดนะครับ ที่ไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะร้ายแรงซักแค่ไหน มันก็จะมีทางออกของมันเสมอ ซึ่งวงจรชีวิตของสัตว์ต่างๆบนโลกนี้ล้วนแล้วแต่อยู่ภายใต้ระบบของธรรมชาติทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น มันจะมีสัตว์ชนิดหนึ่งที่หน้าตาคล้ายหนู(ผมจำไม่ได้แล้วว่ามันคือตัวอะไร) ที่ในทุกๆปีมันจะผลิตประชากรออกมามากมาย แล้วเมื่อถึงวันหนึ่งในรอบปีมันก็จะโดนน้ำซัดลงไปตายเกลื่อน ลอยเท้งเต้งอยู่ในทะเล จากปริมาณที่เห็นแทบจะเรียกได้ว่ามันคือการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ซะด้วยซ้ำ แต่ที่แปลกก็คือในทุกรอบปีภายหลังโศกนาฏกรรมครั้งนี้ มันก็จะมีพ่อพันธุ์แม่พันธุ์รุ่นใหม่ผลิตประชากรรุ่นใหม่ออกมาเสมอ ชีวิตของมันจะเริ่มต้นใหม่เสมอ นี่มันอาจจะเป็นการรักษาสมดุลย์ทางธรรมชาติที่ช่วยไม่ให้สิ่งมีชีวิตอื่นต้องได้รับความเสียหายจากการเจริญพันธุ์ของเจ้าสัตว์พันธุ์นี้หรือเปล่า หรืออีกกรณีที่เห็นได้ชัด เช่น หมีแพนด้าที่แม้ว่ามันจะมีโอกาสตกลูกได้น้อยมาก มันก็ไม่เคยจะสูญพันธุ์ ยังคงผลิตลูกหลานรุ่นใหม่ออกมาอย่างสม่ำเสมอมาตลอดหลายร้อยปี ซึ่งทุกๆชีวิตบนโลกใบนี้ก็ควรจะเป็นเช่นนั้น เกิดมาเพื่อทำหน้าที่อะไรบางอย่างที่สัมพันธ์สอดคล้องและให้ประโยชน์กับสิ่งอื่นจนถึงขีดสุดที่มันจะไม่ไปทำลายระบบอื่นได้ จากนั้นก็จะถูกโละทิ้งเพื่อเริ่มรอบชีวิตใหม่ วนเวียนเช่นนี้ไปเป็นวัฎจักรของโลก ซึ่งนี่คือเหตุผลที่ทำให้โลกเราคงอยู่มายาวนานจนถึงปัจจุบัน
แต่สิ่งหนึ่งที่ตั้งแต่เกิดมาก็มักจะทำตัวอยู่เหนือกฏเกณฑ์ของธรรมชาติเสมอ มักจะเข้าไปทำลายระบบนิเวศน์ของสิ่งอื่นเสมอ อีกทั้งยังคอยหาเหตุผลมาสนับสนุนให้ตนดูดีอยู่เสมอนั่นคงไม่ใช่ใคร ก็คือมนุษย์อย่างเราๆท่านๆนี่เองที่พยายามจะทำทุกอย่างให้มันดีขึ้นโดยที่ไม่ได้สนใจระบบเดิม ก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นอย่างมากมาย สัตว์หลายชนิดต้องสูญพันธุ์ไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งหมดที่กล่าวมามันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะมนุษย์เราออกล่าอย่างไร้เหตุผลอย่างเดียวเท่านั้น แต่มันยังรวมถึง “ความรัก”ที่ก่อให้เกิดเทคโนโลยีทางการแพทย์บางอย่างที่เหมือนจะดีในส่วนย่อย แต่เอาเข้าจริงในภาพรวมมันกลับเป็นการทำลายระบบการคัดสรรที่ดีเยี่ยมตามธรรมชาติไปเสียแล้ว อย่าเพิ่งสงสัยนะครับว่ามันจะวนเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องช่วยน้องหมาคลอดลูกยังไง อดทนอ่านอีกนิดเถอะครับ ผมอยากเล่าให้ฟังเกี่ยวกับระบบการคัดสรรตามธรรมชาติอย่างคร่าว ซึ่งมันน่าจะช่วยให้เพื่อนๆที่กำลังอ่านอยู่สามารถเข้าใจได้ง่ายขึ้นว่า เทคโนโลยีเหล่านั้นมันมีผลเสียอย่างไร
เริ่มจากที่ได้เล่าไปแล้วว่าธรรมชาติมันจะทำการรักษาสมดุลย์ด้วยตัวมันเอง อะไรที่มันมากจนเกิดผลเสียก็ต้องทำลายทิ้งซะบ้าง อะไรที่มันน้อยจนเกิดผลเสียก็ต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงซะบ้าง งงกันใช่มั้ยครับว่าไอ้อย่างหลังมันคืออะไร ที่จริงมันก็คือระบบคัดสรรของธรรมชาตินั่นเองครับ ที่จะคัดเอาเฉพาะสายพันธุ์ที่แข็งแกร่งเพียงพอต่อการอยู่รอดในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง เพื่อให้มันสามารถดำรงอยู่ได้และเอื้อประโยชน์ต่อสิ่งอื่นต่อไปนั่นเองครับ ยกตัวอย่างเช่น มีงูชนิดหนึ่งที่มีไม่มีพิษอะไร เกิดมาก็ถูกนกจับกินอยู่ร่ำไป ไม่นานนักก็คงจะถึงการสูญพันธุ์เนื่องจากปริมาณมันลดลงและสายพันธุ์ก็ไม่แข็งแกร่งพอจะอยู่บนโลกใบนี้ได้ ธรรมชาติจึงได้เล่นตลกทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สีผิวของมัน ซึ่งดันไปคล้ายกับงูมีพิษชนิดหนึ่ง ทำให้นกซึ่งมองจากที่สูงแยกแยะไม่ออก ไม่กล้ากิน มันจึงรอด พอรอดแล้วก็ขยายพันธุ์ได้จนในที่สุดมันก็อยู่ยงมาจนถึงทุกวันนี้ อันที่จริงแล้วจะเรียกสิ่งนี้ว่าความบังเอิญก็คงไม่ผิดนักครับ เพราะกว่าที่จะมันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่สีผิวจนไปคล้ายกับสีของงูมีพิษได้ มันต้องใช้เวลาหลายร้อยปี แต่ก็อีกนั่นแหละครับ ผมก็ยังเชื่อว่านี่คือกระบวนการที่สมบูรณ์ที่สุดอยู่ดีเพราะว่าสิ่งที่เหลืออยู่ในปัจจุบันคือสิ่งที่ถูกคัดสรรมาแล้วว่าอยู่ได้ และกระบวนการนี้ก็ยังไม่เคยที่จะหยุดทำงานเลยซักวันเดียว ไม่เชื่อก็ลองสังเกตุกันดูสิครับ ว่าจู่ๆก็จะมีโรคประหลาดอะไรเกิดขึ้นมาใหม่อีก แล้วก็คร่าชีวิตคนและสัตว์ไปอีก สิ่งที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่รอด กลายเป็นเมล็ดพันธุ์ใหม่ของชีวิตในโลกหน้า
ทีนี้มาเข้าเรื่องของเรากันเลยดีกว่าครับ อย่างที่ได้เกริ่นไปแล้วตั้งแต่ต้นนะครับว่า น้องอ้อ(สุดที่รักของผม)เพิ่งจะได้ไปช่วยทำคลอดน้องหมาซึ่งไม่สามารถออกลูกเองได้ตามธรรมชาติ ที่ทำไปนั้นก็เพราะความรักกลัวน้องหมาจะตาย กลัวลูกน้องหมาจะตาย ซึ่ง “ความรัก”ถือเป็นเรื่องดีครับ แต่เรามาลองคิดดูกันสักนิดดีมั้ยครับว่า ไอ้สิ่งที่เรากำลังทำอยู่นั้นเนี่ย มันไปทำลายระบบคัดสรรตามธรรมชาติหรือเปล่า จะเป็นไปได้มั้ยว่าไอ้การที่น้องหมามันไม่สามารถคลอดได้เองนั้น มันเป็นความบกพร่องที่สมควรจะได้รับการถูกคัดทิ้ง เพื่อรักษาสายพันธุ์ที่สมบูรณ์และไร้ปัญหาที่จะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ในสภาพแวดล้อมปัจจุบันที่เริ่มโหดร้ายลงทุกที จะเป็นไปได้มั้ยว่าสิ่งที่เรากำลังทำกันอยู่นั้นกำลังไปทำให้สายเลือดที่จะออกมาจากน้องหมาตัวนี้ไม่สามารถดำรงชีวิตต่อไปได้อย่างปกติ เพราะทุกครั้งที่จะออกลูกก็ต้องอาศัยการผ่าตัด แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเกิดว่ามันไม่ได้อยู่ในมือหมอหรือมนุษย์คนใดที่จะผ่าให้มันได้ และจะเกิดอะไรขึ้นถ้าสายพันธุ์นี้แพร่กระจายออกไปแต่ไม่มีหมอคอยผ่าอีกต่อไป มันจะเป็นยังไงในช่วงวินาทีนั้น .....

....ถ้ามันเป็นอย่างที่ผมคิด นี่มันคงไม่ต่างอะไรกับการสังหารหมู่ ไม่ต่างอะไรกับการเอายาพิษให้มันกินแล้วก็รอเวลาที่มันจะตายด้วยพิษยา....

เรื่องราวมันจะเป็นแบบนี้หรือไม่ แน่นอนว่าผมไม่มีทางรู้ เพราะผมเป็นแค่สถาปนิกธรรมดาๆคนหนึ่ง ที่ชอบคิดไปเรื่อยเปื่อย หวังเพียงอยากเห็นทุกชีวิตที่เคยอยู่ด้วยกันได้มีความสุขตามอัฒภาพและอยู่ภายใต้ระบบคัดสรรและการรักษาสมดุลย์ของธรรมชาติก็เท่านั้น เพื่อที่โลกเราจะได้คงอยู่อย่างใสสะอาดตลอดไปครับ


ปล.ทั้งหมดที่กล่าวมามิได้มีเจตนาที่จะไปกระทบกระแทกผู้ใดนะครับ เป็นเพียงความคิดเห็นหนึ่งของผมเพียงคนเดียวเท่านั้น ด้วยหวังว่า จากการกระทำที่เกิดจากความรักนั้น เมื่อแก้ไขเรื่องเร่งด่วนไปแล้ว อย่าลืมไปแก้ไขกันที่ต้นตอของปัญหาด้วยนะครับ เพื่อที่วันข้างหน้าเราจะได้ไม่ต้องกลับมาแก้เรื่องเดิมกันอย่างไม่รู้จักจบสิ้นอีกต่อไป ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกความพยายามนะครับ น้องอ้อสู้ๆคร้าบบบบบบบ อิอิ