26 กุมภาพันธ์ 2551

...ตาน้ำกับความอดทน...

คุณๆเคยสงสัยกันมั้ยครับว่า
...เวลาที่เรามีเรื่องขัดแย้งระหว่างคนสองคนไม่ว่ากับเพื่อน กับแฟนหรือกับใครๆก็ตาม
...เรื่องที่ทำให้อีกฝ่ายนึงไม่สบายใจ ไม่มีความสุข เรื่องที่ทำให้ทะเลาะกันทุกครั้งที่คุย
...เรื่องที่คอยบั่นทอนเวลาแห่งความสุขระหว่างคนทั้งสองให้ลดลงทุกที
...ทั้งๆที่ในที่สุด เราก็เปลี่ยนแปลงไปในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ แต่ทำไมบ่อยครั้งจึงต้องจบด้วยการเลิกรา แยกจากกันไปทั้งที่ยังรักกัน แต่ความรู้สึกระหว่างเรากลับไม่เหมือนเดิม และสุดท้ายก็กลายเป็นคนที่ไม่รู้จักกันไปในที่สุด

...อันที่จริงแล้วเหตุผลมันมีอยู่...แต่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะคำนึงถึง ด้วยคิดว่าแค่เปลี่ยนสิ่งที่ขัดแย้งกันนั้นก็คงจะพอ โดยไม่ได้สนใจระยะเวลาที่กำลังเดินผ่านไป แต่หารู้ไม่ว่า ”เวลา” นี่แหละคือตัวแปรสำคัญที่สุดที่จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างให้ดีขึ้นได้ หรือทำลายทุกอย่างที่สั่งสมมาให้ราบคาบได้ภายในพริบตาเดียว
...ว่าด้วยเรื่องความอดทนของคนนั้นมันมักจะมีขีดจำกัด มากน้อยแตกต่างกันไปตามแต่สถานการณ์และความสามารถเฉพาะบุคคล แต่ถึงแม้ว่ามันจะมีขีดจำกัดอย่างไร ความอดทนนั้นๆก็สามารถเพิ่มขึ้นได้เสมอ โดยสัมพันธ์กับระยะเวลาที่จะต้องอดทนเรื่องนั้นๆ ...
...เปรียบเหมือนกับตาน้ำที่ผุดออกมาเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง ถ้าไม่มีการใช้น้ำเกินความสามารถในการผุด มันก็ไม่มีวันหมด เหลือมากบ้างน้อยบ้างคละกันไป แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มีการใช้น้ำนั้นเกินกำลังที่มันจะผลิตได้ ตาน้ำนั้นมันก็จะแห้งเหือด ทำได้เพียงรอเวลาที่กระแสน้ำจากส่วนไกลเดินมาถึง แน่นอนว่าบางชีวิตอาจจะรอไม่ไหวล้มตายกันไปก่อน...
...จะว่าไปตาน้ำนั้นมันก็เหมือนกับความอดทนอดกลั้นของคนเรา เช่นถ้าเกิดว่า เราทะเลาะกับใครวันนี้ เราทำให้เค้าไม่พอใจกับเรื่องนี้ วันแรกความอดทนของอีกฝ่ายยังเต็มเปี่ยม ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็คงดีกัน

....ต่อมาเกิดเรื่องเดิมอีก...ก็ยังพอทนได้ เพราะมันใช้ยังไม่หมดแถมยังถูกเติมกลับมาบางส่วน เดี๋ยวก็คง คืนดีกัน แต่อาจช้ากว่าครั้งแรกไปบ้าง

...ต่อมาอีก เกิดเรื่องเดิมอีก ก็ยังพอทนได้ เพราะความอดทนเหลือน้อยและถูกเติมยังไม่ทัน เลยอาจต้องใช้เวลานานหน่อย

...ต่อมาอีก เรื่องนี้ก็เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า........จนความอดทนมันเติมไม่ทัน....
และเมื่อนั้นความแตกหักก็จะบังเกิด

...แน่นอนว่าในช่วงเวลานั้น มันเป็นจุดที่ต้องตัดสินใจว่าคุณจะยังเป็นเหมือนเดิมเพื่อแลกกับความเป็นตัวคุณ แต่ก็อาจเสียเค้าไป หรือคุณจะยอมเปลี่ยนแปลงเพื่อแลกกับอีกหนึ่งคนที่รักคุณ แต่คุณก็ต้องแลกกับความเป็นตัวคุณบางอย่างที่ต้องหายไป
..... อยู่ที่เราเท่านั้น ว่าเห็นอะไรสำคัญกว่า แล้วก็ตัดสินใจและยอมรับผลของมัน ก็เท่านั้น

...ไม่มีใครถูก และก็ ไม่มีใครผิด...

...ฟังดูเหมือนเข้าใจง่าย แต่มันไม่ง่ายแบบนั้นหรอกครับ
...เพราะในทุกๆครั้งที่เรื่องเหล่านี้เกิด...คุณก็มักจะต้องเสียเค้าไปอยู่ดี ทั้งที่ๆคุณก็เลือกในสิ่งที่เค้าต้องการ
...ทำไมน่ะเหรอครับ

...ก็เพราะว่าคุณตัดสินใจ”ช้า”ไปยังไงล่ะครับ...

... คุณใช้โควต้าของความอดทนที่อีกฝ่ายมีหมดไปซะแล้ว และมันก็ยังวิ่งมาเติมไม่ทัน นอกจากนั้นยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่คุณๆอาจลืมคิดไปว่า ในทุกครั้งที่ความอดทนถูกใช้อย่างหนักหน่วงนั้น สิ่งหนึ่งที่มันตามเข้ามาเสมอเป็นเงาตามตัว ก็คือ ความอ่อนล้าและความกลัวที่มักจะเพิ่มขึ้นสวนทางกับความอดทนที่ลดลง จึงไม่น่าแปลกใจที่ในวันสุดท้ายที่คุณตัดสินใจ แม้ว่าจะเป็นการตัดสินใจที่เอื้อประโยชน์ให้กับอีกฝ่าย แต่เค้าก็ยังไม่สามารถที่จะอยู่กับคุณได้ เพราะความอดทนที่เหลือน้อยนิด บวกกับความกลัวและความอ่อนล้าแถมจิตใจยังบอบช้ำจนจำใจต้องลาจาก

ดังนั้น...การที่เราเลือกในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ โดยไม่ได้ดูระยะเวลา จึงไม่ได้เป็นตัวการันตีว่าทุกอย่างจะเหมือนเดิม เหมือนซื้อของฝากโดยไม่ดูวันผลิต พอมาถึงมือคนที่จะฝากมันก็เสียซะแล้ว

.... เสียใจ แต่ทำอะไรไม่ได้

....รัก แต่ทำอะไรไม่ได้

...ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้านัก ....

...”ทั้งๆที่รักกัน แต่ก็ไม่สามารถที่จะใช้ชีวิตร่วมกันได้”...

...และที่สำคัญมันไม่ควรเกิดขึ้นกับใครเลย

...สุดท้าย บทความบทนี้ไม่ได้เขียนขึ้นเพื่อบอกว่า...อะไรผิด ...และอะไรถูก ทั้งนี้ก็เพราะว่าไม่มีใครรู้ และไม่มีใครตัดสินได้ เพียงแต่เขียนขึ้นเพื่อบอกกล่าวถึงสภาพอารมณ์ของมนุษย์ ที่ใครหลายคนอ้างว่าไม่รู้ ไม่เคยเข้าใจ ถึงได้ละเลยและมองข้ามจนทำให้เราต้องสูญเสียสิ่งอันเป็นที่รักไป ทั้งๆที่เราก็รักเค้า และเราในที่สุดเราก็จะทำเพื่อเค้า

...แต่มัน”ช้า”ไป ไม่ทันการ

...แต่มันจะไม่มีอีกแล้ว เพราะว่าวันนี้ คุณได้รู้แล้ว...

...รีบคิดแล้วก็รีบทำกันนะครับ สิ่งดีๆรอคุณอยู่...(ยิ้ม)



ปล.ขอให้ทุกคนมีความสุขกับผลของทุกๆการตัดสินใจของคุณนะครับ เพราะผมเชื่อว่า...”คุณคิดดีแล้ว”...(ยิ้ม)

1 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

เขียนเองเลยใช่มั้ย เก่งจัง ชอบอ่านมากเดี๋ยวจะแวะมาอ่านเรื่อยๆนะ นุ้ยเอง