17 มิถุนายน 2551

...เรื่องนี้เกี่ยวกับ "นม" ครับ...

...เรื่องนี้เกี่ยวกับ “นม”...

ก่อนที่จะเข้าสู่เนื้อความภายในนะครับ ผมต้องขอบอกก่อนว่า เรื่องที่เพื่อนๆกำลังจะได้อ่านต่อไปนี้มีความเกี่ยวข้องกับ “นม”ล้วนๆเลยนะครับ ไม่ใช่นมเม็ด นมผง หรือน้ำนมในกล่องยูเอชทีอย่างที่หลายคนพยายามจะคิดแน่นอนครับ มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ “นม”เน้นๆ ครับ นมของมนุษย์เรานี่แหละครับ นมที่มีลักษณะนามว่า “เต้า” อ่ะครับ แล้วก็จะเน้นไปที่นมของผู้หญิงด้วยนะครับ ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่าผมได้ลองวิเคราะห์และเปรียบเทียบดูแล้วว่า นมของผู้ชายนั้นไม่ได้มีอิทธิพลใดๆกับสภาพสังคมและสภาพจิตใจได้เทียบเท่ากับนมของผู้หญิงอย่างแน่นอน จึงขอเขียนเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับนมของผู้หญิงเท่านั้นครับ ดังนั้นสำหรับเพื่อนๆที่คิดว่ามันเป็นเรื่องลามกน่ารังเกียจแล้วล่ะก็ แนะนำให้ไปอ่านเรื่องอื่นๆก่อนหน้าจะดีกว่านะครับ
เอาล่ะครับ หลังจากที่ได้เตือนกันไปแล้วในย่อหน้าข้างบน ผมเชื่อว่าคงยังจะได้เจอกับเพื่อนๆทุกคนอยู่ดีเพราะเชื่อว่าเรื่องเกี่ยวกับ “นม” ที่ผมกำลังจะเขียนต่อไปนี้มันต้องมีประเด็นที่น่าสนใจอยู่อย่างแน่นอนใช่มั้ยครับ แน่นอนว่าเพื่อนๆคิดไม่ผิดหรอกครับ “นม”ของผู้หญิงนั้นเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากที่สุดสิ่งหนึ่งบนโลก

แต่อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าผมเป็นไอ้พวกโรคจิตชอบแอบดูนมของคนอื่นนะครับ เรื่องของ “นม” ที่ผมจะพูดถึงนั้นเกี่ยวกับอิทธิพลต่างๆในสังคมที่มันเกิดขึ้นจากนมเพียงหนึ่งเต้าหรือหลายเต้า รวมถึงพฤติกรรมการใช้นมอย่างผิดประภทของมนุษย์และจะวนมาจบที่ความรู้สึกของมนุษย์เมื่อได้ใช้นมอย่างถูกวิธีกันครับ

เริ่มจากเรามาลองวิเคราะห์วัตถุประสงค์ของการสร้าง “นม”ในสิ่งมีชีวิตกันก่อนนะครับ จากการที่ได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับระบบร่างกายของสิ่งมีชีวิตมาบ้าง ทำให้พอจะสรุปหน้าที่หลักของนมในสิ่งมีชีวิตได้ว่า เอาไว้ใช้สำหรับเก็บน้ำนมที่จะถูกผลิตขึ้นเพื่อเตรียมใช้เป็นอาหารมื้อแรกของทายาทตัวน้อยที่กำลังจะออกมาลืมตาดูโลก ซึ่งในน้ำนมนั้นจะมีสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตอย่างครบถ้วนและเจ้าตัวเล็กที่เพิ่งเกิดมาก็ต้องอาศัยน้ำนมนี้เป็นอาหารหลักจนกว่าจะโต ดังนั้นน้ำนมที่ถูกผลิตขึ้นจึงมีปริมาณที่มากพอสมควร ด้วยเหตุนี้เอง “นม” จึงมีลักษณะเป็นถุงน้ำที่นุ่มนิ่มที่จุได้เยอะและสามารถใช้ปากดูดได้อย่างไม่ระคายเคือง ซึ่งลักษณะตามที่กล่าวมานี้จึงไปปรากฏอยู่ที่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด ด้วยวัตถุประสงค์เดียวกันนั่นคือ

ใช้นมเพื่อการ “เลี้ยงลูก” นั่นเอง

จะมีก็แต่มนุษย์เท่านั้นครับที่แตกต่างออกไป เพราะนอกจากมนุษย์จะใช้ประโยชย์จาก “นม” ในการเลี้ยงลูกแล้ว มนุษย์ยังใช้นมในวัตถุประสงค์อื่นๆอีกมากมาย เนื่องจากว่า “นม” ในสังคมมนุษย์นั้นนอกจากจะถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเลี้ยงลูกแล้ว ในยุคแรกเริ่มนั้นยังเชื่อว่า “นม” ในมนุษย์ทำหน้าที่เป็นสิ่งเร้าตามธรรมชาติที่จะกระตุ้นให้มนุษย์เกิดกระบวนการสืบพันธุ์เพื่อขยายพันธุ์อีกด้วย แต่เนื่องจากมนุษย์เราเป็นสัตว์เพียงชนิดเดียวที่สามารถทำตัวอยู่เหนือธรรมชาติและอีกทั้งยังสามารถควบคุมสัญชาตญาณสัตว์ป่าที่อยู่ในตัวได้ เราจึงเป็นสัตว์เพียงชนิดเดียวที่สามารถเข้าสู่กระบวนการร่วมเพศได้โดยปราศจากเงื่อนไขเรื่องการสืบพันธุ์ แต่กลับร่วมเพศกันเพื่อสนองความต้องการและความสุขสมทางอารมณ์เสียมากกว่า ดังนั้น “นม” จึงถือเป็นสิ่งเร้าชั้นดีที่ผู้หญิงหลายคนอยากได้อยากมีถึงขนาดยอมไปทำศัลยกรรมเพื่อให้มันดูเย้ายวนใจ เพราะว่าพอมี “นม” แล้วงานก็มา เงินก็มา ผู้ชายก็มาและอีกหลายๆอย่างก็ตามมาอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่เชื่อลองดูดาราบนจอทีวีสิครับแค่นมใหญ่ก็ดังแล้ว หรือใครอยากดังก็แค่ทำนมหก ถึงมันจะฟังดูขำๆ แต่เอาเข้าจริงก็ได้ผลทุกราย จนทำให้เรารู้สึกว่า “นม” น่าจะเป็นอวัยวะที่สามรองจากมือและเท้าที่สามารถใช้ไต่ขึ้นที่สูงได้ หรือที่เราเรียกกันว่า “ไต่เต้า” กันนั่นแหละครับ (อันที่จริงควรจะเรียกว่าเอาเต้าไต่เสียมากกว่า)(ฮา) อีกทั้งเรื่อง “นมใหญ่” หรือ “นมเล็ก” ก็เป็นเรื่องใหญ่สำหรับผู้หญิงหลายคน จนเกือบจะเป็นเรื่องหลักๆที่ถูกทักหลังจากที่สนิทกันแล้วด้วยซ้ำ ทั้งที่มีอวัยวะส่วนอื่นให้ทักให้สังเกตุกันมากมาย แต่ก็ไม่เคยมีใครที่จะสามารถหลุดพ้นออกไปจากอิทธิพลของมันได้เลย จนกลายเป็นคำล้อประจำวัฒนธรรมไทยของเราไปแล้ว ยกตัวอย่างเช่น...อกไข่ดาว...อกลูกเกดแปะผนัง...อกไม้กระดาน...แยกไม่ออกเลยว่าด้านไหนคือด้านหน้า ด้านไหนคือด้านหลัง ฯลฯ รวมถึงผู้ชายบางคนยังเอาเหตุผลนี้มาเป็นข้ออ้างในการ “เลือก” หรือ “เลิก” เสียด้วยซ้ำ นั่นก็เป็นเพราะอิทธิพลของ “นม” ที่มันส่งผลกับสังคมเรานั่นเองครับ
จากทั้งหมดที่กล่าวมานั้นจะเห็นได้ว่าอิทธิพลของ “นม” นั้นมีมากมายขนาดไหนใช่มั้ยครับ ปัจจุบันมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทยไปโดยปริยายและพัฒนากลายเป็นความเชื่อหลักที่ดูจริงจังจนบางครั้งถึงกับต้องห้ามนำเรื่องพวกนี้มาล้อเลียนกัน เพราะถือว่ามันคือ “ปมด้อย” ที่ไม่ควรนำมากล่าวซ้ำเติมกันเลยทีเดียวครับและสุดท้ายยังมีอีกหนึ่งคุณประโยชน์ที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้เลยก็คือ “การใช้นมเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญในการร่วมเพศของมนุษย์”

“การใช้นมเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญในการร่วมเพศของมนุษย์” นั้นถือเป็นการใช้นมอย่างผิดวัตุประสงค์ในการสร้างที่ดูจะจริงจังและมีความเป็นสากลที่สุดเมื่อเทียบกับเรื่องอื่นๆ อีกทั้งมันยังได้พัฒนาจนกลายไปเป็นแบบแผนในการมีเพศสัมพันธุ์ของมนุษย์ ที่ใช้ปฏิบัติกันจนเป็นเรื่องปกติไปซะแล้ว มาถึงย่อหน้านี้ผมก็ยังขอย้ำนะครับว่า ไม่ได้มีเจตนาจะเขียนเรื่องลามกอนาจารแต่อย่างใด เพียงแต่มันมีความสำคัญมากที่ผมจะต้องยกเอาเรื่องบทบาทของนมในการร่วมเพศมาเปรียบเทียบให้เห็นกันก่อน เนื่องจากมันจะทำให้เกิดข้อเปรียบเทียบที่ชัดเจนในบทสรุปตอนท้าย ซึ่งยังให้คำแนะนำเพื่อนๆเหมือนเดิมคือ ...ไม่เหมาะสำหรับคนขวัญอ่อนนะครับ....(ฮา)

ปัจจุบัน “นม” ถือเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญมากไม่แพ้อวัยวะอื่นใดในการร่วมเพศของมนุษย์นะครับ เพราะเป็นจุดสำคัญในการเล้าโลมโหมอารมณ์และยังเป็นอวัยวะที่สามารถใช้งานได้ตลอดเวลาที่ดำเนินภาระกิจ เนื่องด้วยลักษณะของนมนั้นมีลักษณะเป็นถุงนุ่มนิ่ม ยื่นออกมาจากร่างกาย มีจงอยเล็กๆนิ่มๆยื่นออกมาจากตำแหน่งกึ่งกลางเต้า หรือที่เราเรียกว่า “หัวนม” นั่นเองครับ มันใช้ทำหน้าที่เป็นท่อปลายทางของการลำเลียงน้ำนมอันมากด้วยคุณค่ามาสู่ปากของลูกน้อยในยามที่มนุษย์เราต้องแปลงสภาพกลายเป็น “แม่”นั่นเองครับ ซึ่งเราจะคุ้นเคยกับมันมาตั้งแต่เราลืมตาออกมาดูโลกเป็นครั้งแรก ตั้งแต่ยังจำอะไรไม่ได้ด้วยซ้ำไป อีกทั้งขนาดของ “นม” นั้นยังมีขนาดพอเหมาะพอดีกับมือของมนุษย์ ดังนั้นเราจึงสามารถ “ใช้งาน” “นม” ได้โดยสัญชาตญาณอย่างที่ไม่ต้องมีใครมาสอน นั่นคือการ...บีบ...คลึง...เค้น...ขยำ...เลีย...และที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ “การดูด”ครับ ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่าอาการของคนที่โดน “ดูด”นมนั้น จะมีอาการสุขเสียวสะท้านไปทั้งร่างกายจนถือได้ว่าเป็นพฤติกรรมหนึ่งที่จะละเลยไม่ได้ในการร่วมเพศเลยทีเดียว (อันนี้ผมสังเกตุจากภาพยนต์ญี่ปุ่นหลายๆเรื่องอ่ะนะครับ โปรดอย่าได้คิดเป็นอื่น)

แต่จุดนี้นี่แหละครับที่มันสำคัญ(เฮ้อออ ได้เข้าเรื่องซะที เขียนจนจะกลายเป็นนิยายอีโรติกอยู่แล้ว เหอๆ)ที่ว่ามันสำคัญนั้นก็คือ มันเริ่มจากความสงสัยใคร่รู้ของผมเองที่ว่า มนุษย์เพศหญิงนั้นเมื่อเข้าสู่ระบบการสืบพันธุ์ “นม” ของเธอจะถูกใช้โดยจุดประสงค์อื่นก่อนที่จะได้มาใช้เป็นถุงเสบียงสำหรับเจ้าตัวน้อย ดังนั้นอย่างที่ได้บอกไปแล้วว่า การที่เราใช้นมในการร่วมเพศนั้นมันจะก่อให้เกิดความรู้สึกแบบไหน ซึ่งถ้าการร่วมเพศนั้นเป็นไปในระยะที่อุดมสมบูรณ์ของฝ่ายหญิง เธอก็จะให้กำเนิดเจ้าตัวน้อยออกมา ตอนนี้แหละครับที่ผมสงสัยมากว่า ตอนที่ผู้หญิงจะต้องเปลี่ยนหน้าที่ของ “นม” จากเป็นอวัยวะที่สร้างความสุขสมให้กับตนและคู่รัก ให้กลายมาเป็น อวัยวะที่ใช้สำหรับมอบสารอาหารแก่ลูกน้อย ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นมันจะเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร ในเมื่อการใช้งานนั้นมันมันต้องใช้กิริยาอาการ “ดูด” เหมือนกัน ที่ตัวผมเองเกิดข้อสงสัยนี้ไม่ได้มีเจตนาที่จะดูถูกเพศแม่แต่อย่างใดนะครับ เพราะผมเองก็รักแม่ของผมมาก เพียงแต่มองมันอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ว่า

.......ถ้าไอ้ต่อมรับความรู้สึกจากการดูดนั้นมันยังเป็นต่อมเดิม ดังนั้นถ้าเกิดกิริยาเดิมขึ้นที่บริเวณนั้นมันก็น่าจะให้ความรู้สึกแบบเดิมด้วย.......ไม่ใช่หรือครับ

แต่สิ่งที่น่าแปลกคือคำตอบจากเหล่าเพื่อนๆผู้หญิงของผมต่างหากครับ เธอมีเจ้าตัวน้อยกันทุกคนแล้วผมจึงไม่อายที่จะถามกันตรงๆว่า ไอ้ความรู้สึกตอนที่โดนเจ้าตัวน้อยดูดนมเป็นครั้งแรกเนี่ย มันรู้สึกยังไง เสียวแปล๊บ จั๊กจี้ คันหรืออะไรอีกมากมายที่ผมยกตัวอย่างให้เธอเลือก แต่เพื่อนๆเชื่อมั้ยครับคำตอบที่ผมได้รับจากปากเพื่อนทุกคนก็คือ....

“เจ็บ”
แต่มันเป็นความเจ็บที่แปลกประหลาด เพราะว่ามันรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก มันรู้สึกเหมือนชีวิตของเรากับเจ้าตัวน้อยที่ปากกำลังดูดอยู่ที่นมของแม่อย่างเอาจริงเอาจังมันหลอมรวมกันเป็นร่างเดียว อบอุ่นมากๆ อบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก เพื่อนของผมบางคนถึงกับน้ำตาไหลร้องไห้ออกมา เธอว่ามันเป็นความรู้สึกที่ดีมากอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน คนแล้วคนเล่าที่ผมเฝ้าถามเพื่อหาคำตอบที่เป็นกลางแต่ไม่มีครั้งใดเลยที่ผมจะได้คำตอบอย่างอื่น
คงเป็นนี่กระมังสิ่งที่จะเปลี่ยนโลกนี้ได้ สิ่งที่อยู่เหนือกฏเกณฑ์ทุกอย่าง สิ่งที่ทำให้ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงได้เสมอ สิ่งที่แม้แต่ระบบประสาทอันแสนเที่ยงตรงของมนุษย์ก็ยังต้องหลีกทางให้กับ...

... “จิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก” ...

ที่แม่ผู้ให้กำเนิดถ่ายทอดออกมาสู่ลูกน้อยเป็นสายใยที่แน่นเหนียวที่สุดในโลกนี้ นี่กระมังคือความลับของจักรวาลที่ทำให้โลกนี้ยังคงน่าอยู่มาจนถึงปัจจุบัน

.......................ดังนั้น เรามารักคุณแม่กันให้มากๆนะครับ...(ยิ้ม)........................

ปล.บอกแล้วว่าไม่ลามก อิอิ เห็นมั้ย อ่านแล้วก็ยิ้มกันทุกคน เหอๆ กริ๊วววววววววววววววววววววววววววว

15 มิถุนายน 2551

...เทคโนโลยีดีจริงหรือ?...

เทคโนโลยีทางการแพทย์ในปัจจุบันก้าวล้ำไปมากแล้วนะครับสำหรับโลกใบนี้ ทุกวันนี้เราสามารถทำอะไรได้หลายอย่างที่ไม่เคยทำได้มาก่อน ทำได้แม้กระทั่งการสร้างสิ่งมีชีวิตแบบก๊อปปี้หรือที่เราเรียกว่า “โคลนนิ่ง” ขึ้นมาใหม่ อาจเป็นไปได้ว่า วันหนึ่งโลกของเราอาจกลายเป็นโลกแบบหนังเรื่อง “the Island” สำหรับคนที่ไม่เคยดูนะครับ หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เปิดตัวด้วยชีวิตของคนกลุ่มนึงที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เราไม่คุ้นเคย ซึ่งเรามารู้ภายหลังว่ามันคือโลกจำลองที่ถูกสร้างขึ้นไว้เพื่อให้เหล่ามนุษย์ที่ถูกโคลนนิ่งขึ้นมาได้อาศัยเพื่อรอวันที่จะถูกนำไปชำแหละเอาชิ้นส่วนใดชิ้นส่วนหนึ่งไปทดแทนให้กับเจ้าของร่างกายต้นแบบ อธิบายให้เข้าใจง่ายๆก็คือคนเหล่านี้ถูกโคลนขึ้นมาเพื่อฆ่าเอาอวัยวะนั่นแหละครับ มีชีวิตเกิดมาเพื่อรอวันตายเท่านั้น ฟังดูน่าเศร้าเนอะ ว่ามั้ยครับ
แต่อย่ากังวลไปเลยครับ เรื่องที่จะเอามาเล่าวันนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับหนังเรื่องนี้หรือการโคลนนิ่งใดๆครับ ผมเพียงไปพบเจอข้อสังเกตุที่น่าคิดบางประการเกี่ยวกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทางการแพทย์ของมนุษย์เรา ว่าในท้ายที่สุดแล้วมันจะก่อให้เกิดประโยชน์กับวิวัฒนาการของเราจริงหรือ เรื่องมันมีอยู่ว่า.....
เย็นวันนี้น้องอ้อ(สุดที่รักของผม)เพิ่งกลับจากฝึกงานอ่ะนะครับ อ่อ ลืมบอกไปว่าน้องอ้อเรียนสัตวแพทยศาสตร์อยู่ที่จุฬาฯครับ แล้ววันนี้มีเรื่องมาเล่าให้ผมฟังเกี่ยวกับเคสที่เจอสองวันติดกัน นั่นก็คือเคสที่น้องหมาคลอดลูกไม่ได้ครับ เจ้าของเลยต้องเอามาที่โรงพยาบาลเพื่อให้คุณหมอผ่าออก อืมมม ดูจะเป็นเรื่องที่แสนธรรมดาไปแล้วใช่มั้ยครับสำหรับการดูแลสุนัข ที่ปัจจุบันเจ้าของบางคนรักเหมือนกับลูกของตัวเองเลย ดังนั้นการดูแลอะไรหลายๆอย่างจึงคล้ายคนเข้าไปทุกทีแม้กระทั่งการคลอดลูก (ไม่รู้ว่าในอนาคตจะมีการบล็อคหลังแล้วให้เจ้าของเข้าไปดูตอนผ่าด้วยหรือเปล่า.....เหอๆ )
ด้วยตัวผมเองนั้นมีประสบการณ์ในการเลี้ยงน้องหมามาตั้งแต่เด็กครับ เพราะคุณพ่อและคุณแม่ชอบหมา ผมเองจึงได้มีประสบการณ์ร่วมในเหตุการณ์ที่น้องหมาที่แสนน่ารักจะคลอดลูกบ่อยครั้ง เลี้ยงหมามาหลายสิบตัว เห็นหมาคลอดมาหลายสิบครั้ง คลอดออกมามีตายไปบ้างแต่ก็รอดซะส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่เคยจะไปทำอะไรมัน ไม่เคยสนใจที่จะจับมันไปทำอัลตร้าซาวน์อย่างที่คนทุกวันนี้ทำกัน ได้แต่ปล่อยให้มันเป็นธรรมชาติของมันเท่านั้นเอง ไม่รู้ว่าถูกหรือผิด เพียงแต่คิดว่าทางออกตามธรรมชาติน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
บ่อยครั้งนะครับที่มนุษย์เรามักเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางในการตัดสินว่าอะไรดี อะไรไม่ดีอยู่เสมอๆ ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้วสิ่งอื่นที่เราคิดว่ามันแย่สำหรับเรา มันอาจจะดีที่สุดสำหรับบางชีวิตก็เป็นได้ ซึ่งนั่นมันก็เป็นเพราะว่าเราเกิดมาแตกต่างกันนั่นเอง มีใครเคยรู้บ้างมั้ยครับว่าน้องหมามันชอบมั้ยที่ถูกจับแต่งตัวประหลาด อาจดูน่ารักในสายตามนุษย์แต่ความรู้สึกจริงๆของมันแล้วมันชอบหรือเปล่า ถ้าเทียบกับได้อยู่แบบปล่อยขนโล่งๆ มันจะชอบอันไหนมากกว่ากัน หรือแม้แต่เรื่องนี้ เรื่องที่เพิ่งเล่าไปเกี่ยวกับการผ่าตัดทำคลอดให้หมา จะต่างกันนิดหน่อยก็ตรงที่เรื่องนี้มันเกี่ยวกับความเป็นความตายมากกว่าความสวยงามก็เท่านั้น
ผมเชื่อในพลังแห่งธรรมชาติมาตลอดนะครับ ที่ไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะร้ายแรงซักแค่ไหน มันก็จะมีทางออกของมันเสมอ ซึ่งวงจรชีวิตของสัตว์ต่างๆบนโลกนี้ล้วนแล้วแต่อยู่ภายใต้ระบบของธรรมชาติทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น มันจะมีสัตว์ชนิดหนึ่งที่หน้าตาคล้ายหนู(ผมจำไม่ได้แล้วว่ามันคือตัวอะไร) ที่ในทุกๆปีมันจะผลิตประชากรออกมามากมาย แล้วเมื่อถึงวันหนึ่งในรอบปีมันก็จะโดนน้ำซัดลงไปตายเกลื่อน ลอยเท้งเต้งอยู่ในทะเล จากปริมาณที่เห็นแทบจะเรียกได้ว่ามันคือการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ซะด้วยซ้ำ แต่ที่แปลกก็คือในทุกรอบปีภายหลังโศกนาฏกรรมครั้งนี้ มันก็จะมีพ่อพันธุ์แม่พันธุ์รุ่นใหม่ผลิตประชากรรุ่นใหม่ออกมาเสมอ ชีวิตของมันจะเริ่มต้นใหม่เสมอ นี่มันอาจจะเป็นการรักษาสมดุลย์ทางธรรมชาติที่ช่วยไม่ให้สิ่งมีชีวิตอื่นต้องได้รับความเสียหายจากการเจริญพันธุ์ของเจ้าสัตว์พันธุ์นี้หรือเปล่า หรืออีกกรณีที่เห็นได้ชัด เช่น หมีแพนด้าที่แม้ว่ามันจะมีโอกาสตกลูกได้น้อยมาก มันก็ไม่เคยจะสูญพันธุ์ ยังคงผลิตลูกหลานรุ่นใหม่ออกมาอย่างสม่ำเสมอมาตลอดหลายร้อยปี ซึ่งทุกๆชีวิตบนโลกใบนี้ก็ควรจะเป็นเช่นนั้น เกิดมาเพื่อทำหน้าที่อะไรบางอย่างที่สัมพันธ์สอดคล้องและให้ประโยชน์กับสิ่งอื่นจนถึงขีดสุดที่มันจะไม่ไปทำลายระบบอื่นได้ จากนั้นก็จะถูกโละทิ้งเพื่อเริ่มรอบชีวิตใหม่ วนเวียนเช่นนี้ไปเป็นวัฎจักรของโลก ซึ่งนี่คือเหตุผลที่ทำให้โลกเราคงอยู่มายาวนานจนถึงปัจจุบัน
แต่สิ่งหนึ่งที่ตั้งแต่เกิดมาก็มักจะทำตัวอยู่เหนือกฏเกณฑ์ของธรรมชาติเสมอ มักจะเข้าไปทำลายระบบนิเวศน์ของสิ่งอื่นเสมอ อีกทั้งยังคอยหาเหตุผลมาสนับสนุนให้ตนดูดีอยู่เสมอนั่นคงไม่ใช่ใคร ก็คือมนุษย์อย่างเราๆท่านๆนี่เองที่พยายามจะทำทุกอย่างให้มันดีขึ้นโดยที่ไม่ได้สนใจระบบเดิม ก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นอย่างมากมาย สัตว์หลายชนิดต้องสูญพันธุ์ไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งหมดที่กล่าวมามันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะมนุษย์เราออกล่าอย่างไร้เหตุผลอย่างเดียวเท่านั้น แต่มันยังรวมถึง “ความรัก”ที่ก่อให้เกิดเทคโนโลยีทางการแพทย์บางอย่างที่เหมือนจะดีในส่วนย่อย แต่เอาเข้าจริงในภาพรวมมันกลับเป็นการทำลายระบบการคัดสรรที่ดีเยี่ยมตามธรรมชาติไปเสียแล้ว อย่าเพิ่งสงสัยนะครับว่ามันจะวนเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องช่วยน้องหมาคลอดลูกยังไง อดทนอ่านอีกนิดเถอะครับ ผมอยากเล่าให้ฟังเกี่ยวกับระบบการคัดสรรตามธรรมชาติอย่างคร่าว ซึ่งมันน่าจะช่วยให้เพื่อนๆที่กำลังอ่านอยู่สามารถเข้าใจได้ง่ายขึ้นว่า เทคโนโลยีเหล่านั้นมันมีผลเสียอย่างไร
เริ่มจากที่ได้เล่าไปแล้วว่าธรรมชาติมันจะทำการรักษาสมดุลย์ด้วยตัวมันเอง อะไรที่มันมากจนเกิดผลเสียก็ต้องทำลายทิ้งซะบ้าง อะไรที่มันน้อยจนเกิดผลเสียก็ต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงซะบ้าง งงกันใช่มั้ยครับว่าไอ้อย่างหลังมันคืออะไร ที่จริงมันก็คือระบบคัดสรรของธรรมชาตินั่นเองครับ ที่จะคัดเอาเฉพาะสายพันธุ์ที่แข็งแกร่งเพียงพอต่อการอยู่รอดในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง เพื่อให้มันสามารถดำรงอยู่ได้และเอื้อประโยชน์ต่อสิ่งอื่นต่อไปนั่นเองครับ ยกตัวอย่างเช่น มีงูชนิดหนึ่งที่มีไม่มีพิษอะไร เกิดมาก็ถูกนกจับกินอยู่ร่ำไป ไม่นานนักก็คงจะถึงการสูญพันธุ์เนื่องจากปริมาณมันลดลงและสายพันธุ์ก็ไม่แข็งแกร่งพอจะอยู่บนโลกใบนี้ได้ ธรรมชาติจึงได้เล่นตลกทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สีผิวของมัน ซึ่งดันไปคล้ายกับงูมีพิษชนิดหนึ่ง ทำให้นกซึ่งมองจากที่สูงแยกแยะไม่ออก ไม่กล้ากิน มันจึงรอด พอรอดแล้วก็ขยายพันธุ์ได้จนในที่สุดมันก็อยู่ยงมาจนถึงทุกวันนี้ อันที่จริงแล้วจะเรียกสิ่งนี้ว่าความบังเอิญก็คงไม่ผิดนักครับ เพราะกว่าที่จะมันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่สีผิวจนไปคล้ายกับสีของงูมีพิษได้ มันต้องใช้เวลาหลายร้อยปี แต่ก็อีกนั่นแหละครับ ผมก็ยังเชื่อว่านี่คือกระบวนการที่สมบูรณ์ที่สุดอยู่ดีเพราะว่าสิ่งที่เหลืออยู่ในปัจจุบันคือสิ่งที่ถูกคัดสรรมาแล้วว่าอยู่ได้ และกระบวนการนี้ก็ยังไม่เคยที่จะหยุดทำงานเลยซักวันเดียว ไม่เชื่อก็ลองสังเกตุกันดูสิครับ ว่าจู่ๆก็จะมีโรคประหลาดอะไรเกิดขึ้นมาใหม่อีก แล้วก็คร่าชีวิตคนและสัตว์ไปอีก สิ่งที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่รอด กลายเป็นเมล็ดพันธุ์ใหม่ของชีวิตในโลกหน้า
ทีนี้มาเข้าเรื่องของเรากันเลยดีกว่าครับ อย่างที่ได้เกริ่นไปแล้วตั้งแต่ต้นนะครับว่า น้องอ้อ(สุดที่รักของผม)เพิ่งจะได้ไปช่วยทำคลอดน้องหมาซึ่งไม่สามารถออกลูกเองได้ตามธรรมชาติ ที่ทำไปนั้นก็เพราะความรักกลัวน้องหมาจะตาย กลัวลูกน้องหมาจะตาย ซึ่ง “ความรัก”ถือเป็นเรื่องดีครับ แต่เรามาลองคิดดูกันสักนิดดีมั้ยครับว่า ไอ้สิ่งที่เรากำลังทำอยู่นั้นเนี่ย มันไปทำลายระบบคัดสรรตามธรรมชาติหรือเปล่า จะเป็นไปได้มั้ยว่าไอ้การที่น้องหมามันไม่สามารถคลอดได้เองนั้น มันเป็นความบกพร่องที่สมควรจะได้รับการถูกคัดทิ้ง เพื่อรักษาสายพันธุ์ที่สมบูรณ์และไร้ปัญหาที่จะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ในสภาพแวดล้อมปัจจุบันที่เริ่มโหดร้ายลงทุกที จะเป็นไปได้มั้ยว่าสิ่งที่เรากำลังทำกันอยู่นั้นกำลังไปทำให้สายเลือดที่จะออกมาจากน้องหมาตัวนี้ไม่สามารถดำรงชีวิตต่อไปได้อย่างปกติ เพราะทุกครั้งที่จะออกลูกก็ต้องอาศัยการผ่าตัด แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเกิดว่ามันไม่ได้อยู่ในมือหมอหรือมนุษย์คนใดที่จะผ่าให้มันได้ และจะเกิดอะไรขึ้นถ้าสายพันธุ์นี้แพร่กระจายออกไปแต่ไม่มีหมอคอยผ่าอีกต่อไป มันจะเป็นยังไงในช่วงวินาทีนั้น .....

....ถ้ามันเป็นอย่างที่ผมคิด นี่มันคงไม่ต่างอะไรกับการสังหารหมู่ ไม่ต่างอะไรกับการเอายาพิษให้มันกินแล้วก็รอเวลาที่มันจะตายด้วยพิษยา....

เรื่องราวมันจะเป็นแบบนี้หรือไม่ แน่นอนว่าผมไม่มีทางรู้ เพราะผมเป็นแค่สถาปนิกธรรมดาๆคนหนึ่ง ที่ชอบคิดไปเรื่อยเปื่อย หวังเพียงอยากเห็นทุกชีวิตที่เคยอยู่ด้วยกันได้มีความสุขตามอัฒภาพและอยู่ภายใต้ระบบคัดสรรและการรักษาสมดุลย์ของธรรมชาติก็เท่านั้น เพื่อที่โลกเราจะได้คงอยู่อย่างใสสะอาดตลอดไปครับ


ปล.ทั้งหมดที่กล่าวมามิได้มีเจตนาที่จะไปกระทบกระแทกผู้ใดนะครับ เป็นเพียงความคิดเห็นหนึ่งของผมเพียงคนเดียวเท่านั้น ด้วยหวังว่า จากการกระทำที่เกิดจากความรักนั้น เมื่อแก้ไขเรื่องเร่งด่วนไปแล้ว อย่าลืมไปแก้ไขกันที่ต้นตอของปัญหาด้วยนะครับ เพื่อที่วันข้างหน้าเราจะได้ไม่ต้องกลับมาแก้เรื่องเดิมกันอย่างไม่รู้จักจบสิ้นอีกต่อไป ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกความพยายามนะครับ น้องอ้อสู้ๆคร้าบบบบบบบ อิอิ

26 กุมภาพันธ์ 2551

...ตาน้ำกับความอดทน...

คุณๆเคยสงสัยกันมั้ยครับว่า
...เวลาที่เรามีเรื่องขัดแย้งระหว่างคนสองคนไม่ว่ากับเพื่อน กับแฟนหรือกับใครๆก็ตาม
...เรื่องที่ทำให้อีกฝ่ายนึงไม่สบายใจ ไม่มีความสุข เรื่องที่ทำให้ทะเลาะกันทุกครั้งที่คุย
...เรื่องที่คอยบั่นทอนเวลาแห่งความสุขระหว่างคนทั้งสองให้ลดลงทุกที
...ทั้งๆที่ในที่สุด เราก็เปลี่ยนแปลงไปในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ แต่ทำไมบ่อยครั้งจึงต้องจบด้วยการเลิกรา แยกจากกันไปทั้งที่ยังรักกัน แต่ความรู้สึกระหว่างเรากลับไม่เหมือนเดิม และสุดท้ายก็กลายเป็นคนที่ไม่รู้จักกันไปในที่สุด

...อันที่จริงแล้วเหตุผลมันมีอยู่...แต่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะคำนึงถึง ด้วยคิดว่าแค่เปลี่ยนสิ่งที่ขัดแย้งกันนั้นก็คงจะพอ โดยไม่ได้สนใจระยะเวลาที่กำลังเดินผ่านไป แต่หารู้ไม่ว่า ”เวลา” นี่แหละคือตัวแปรสำคัญที่สุดที่จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างให้ดีขึ้นได้ หรือทำลายทุกอย่างที่สั่งสมมาให้ราบคาบได้ภายในพริบตาเดียว
...ว่าด้วยเรื่องความอดทนของคนนั้นมันมักจะมีขีดจำกัด มากน้อยแตกต่างกันไปตามแต่สถานการณ์และความสามารถเฉพาะบุคคล แต่ถึงแม้ว่ามันจะมีขีดจำกัดอย่างไร ความอดทนนั้นๆก็สามารถเพิ่มขึ้นได้เสมอ โดยสัมพันธ์กับระยะเวลาที่จะต้องอดทนเรื่องนั้นๆ ...
...เปรียบเหมือนกับตาน้ำที่ผุดออกมาเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง ถ้าไม่มีการใช้น้ำเกินความสามารถในการผุด มันก็ไม่มีวันหมด เหลือมากบ้างน้อยบ้างคละกันไป แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มีการใช้น้ำนั้นเกินกำลังที่มันจะผลิตได้ ตาน้ำนั้นมันก็จะแห้งเหือด ทำได้เพียงรอเวลาที่กระแสน้ำจากส่วนไกลเดินมาถึง แน่นอนว่าบางชีวิตอาจจะรอไม่ไหวล้มตายกันไปก่อน...
...จะว่าไปตาน้ำนั้นมันก็เหมือนกับความอดทนอดกลั้นของคนเรา เช่นถ้าเกิดว่า เราทะเลาะกับใครวันนี้ เราทำให้เค้าไม่พอใจกับเรื่องนี้ วันแรกความอดทนของอีกฝ่ายยังเต็มเปี่ยม ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็คงดีกัน

....ต่อมาเกิดเรื่องเดิมอีก...ก็ยังพอทนได้ เพราะมันใช้ยังไม่หมดแถมยังถูกเติมกลับมาบางส่วน เดี๋ยวก็คง คืนดีกัน แต่อาจช้ากว่าครั้งแรกไปบ้าง

...ต่อมาอีก เกิดเรื่องเดิมอีก ก็ยังพอทนได้ เพราะความอดทนเหลือน้อยและถูกเติมยังไม่ทัน เลยอาจต้องใช้เวลานานหน่อย

...ต่อมาอีก เรื่องนี้ก็เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า........จนความอดทนมันเติมไม่ทัน....
และเมื่อนั้นความแตกหักก็จะบังเกิด

...แน่นอนว่าในช่วงเวลานั้น มันเป็นจุดที่ต้องตัดสินใจว่าคุณจะยังเป็นเหมือนเดิมเพื่อแลกกับความเป็นตัวคุณ แต่ก็อาจเสียเค้าไป หรือคุณจะยอมเปลี่ยนแปลงเพื่อแลกกับอีกหนึ่งคนที่รักคุณ แต่คุณก็ต้องแลกกับความเป็นตัวคุณบางอย่างที่ต้องหายไป
..... อยู่ที่เราเท่านั้น ว่าเห็นอะไรสำคัญกว่า แล้วก็ตัดสินใจและยอมรับผลของมัน ก็เท่านั้น

...ไม่มีใครถูก และก็ ไม่มีใครผิด...

...ฟังดูเหมือนเข้าใจง่าย แต่มันไม่ง่ายแบบนั้นหรอกครับ
...เพราะในทุกๆครั้งที่เรื่องเหล่านี้เกิด...คุณก็มักจะต้องเสียเค้าไปอยู่ดี ทั้งที่ๆคุณก็เลือกในสิ่งที่เค้าต้องการ
...ทำไมน่ะเหรอครับ

...ก็เพราะว่าคุณตัดสินใจ”ช้า”ไปยังไงล่ะครับ...

... คุณใช้โควต้าของความอดทนที่อีกฝ่ายมีหมดไปซะแล้ว และมันก็ยังวิ่งมาเติมไม่ทัน นอกจากนั้นยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่คุณๆอาจลืมคิดไปว่า ในทุกครั้งที่ความอดทนถูกใช้อย่างหนักหน่วงนั้น สิ่งหนึ่งที่มันตามเข้ามาเสมอเป็นเงาตามตัว ก็คือ ความอ่อนล้าและความกลัวที่มักจะเพิ่มขึ้นสวนทางกับความอดทนที่ลดลง จึงไม่น่าแปลกใจที่ในวันสุดท้ายที่คุณตัดสินใจ แม้ว่าจะเป็นการตัดสินใจที่เอื้อประโยชน์ให้กับอีกฝ่าย แต่เค้าก็ยังไม่สามารถที่จะอยู่กับคุณได้ เพราะความอดทนที่เหลือน้อยนิด บวกกับความกลัวและความอ่อนล้าแถมจิตใจยังบอบช้ำจนจำใจต้องลาจาก

ดังนั้น...การที่เราเลือกในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ โดยไม่ได้ดูระยะเวลา จึงไม่ได้เป็นตัวการันตีว่าทุกอย่างจะเหมือนเดิม เหมือนซื้อของฝากโดยไม่ดูวันผลิต พอมาถึงมือคนที่จะฝากมันก็เสียซะแล้ว

.... เสียใจ แต่ทำอะไรไม่ได้

....รัก แต่ทำอะไรไม่ได้

...ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้านัก ....

...”ทั้งๆที่รักกัน แต่ก็ไม่สามารถที่จะใช้ชีวิตร่วมกันได้”...

...และที่สำคัญมันไม่ควรเกิดขึ้นกับใครเลย

...สุดท้าย บทความบทนี้ไม่ได้เขียนขึ้นเพื่อบอกว่า...อะไรผิด ...และอะไรถูก ทั้งนี้ก็เพราะว่าไม่มีใครรู้ และไม่มีใครตัดสินได้ เพียงแต่เขียนขึ้นเพื่อบอกกล่าวถึงสภาพอารมณ์ของมนุษย์ ที่ใครหลายคนอ้างว่าไม่รู้ ไม่เคยเข้าใจ ถึงได้ละเลยและมองข้ามจนทำให้เราต้องสูญเสียสิ่งอันเป็นที่รักไป ทั้งๆที่เราก็รักเค้า และเราในที่สุดเราก็จะทำเพื่อเค้า

...แต่มัน”ช้า”ไป ไม่ทันการ

...แต่มันจะไม่มีอีกแล้ว เพราะว่าวันนี้ คุณได้รู้แล้ว...

...รีบคิดแล้วก็รีบทำกันนะครับ สิ่งดีๆรอคุณอยู่...(ยิ้ม)



ปล.ขอให้ทุกคนมีความสุขกับผลของทุกๆการตัดสินใจของคุณนะครับ เพราะผมเชื่อว่า...”คุณคิดดีแล้ว”...(ยิ้ม)

06 กุมภาพันธ์ 2551

...แท็กซี่...

…แท๊กซี่…
เราคงคุ้นตากับท่าทางเหล่านี้กันนะครับ
เอามือขวาหรือมือซ้าย ข้างใดก็ได้ที่ถนัดในตอนนั้น ยกให้มันยื่นออกไปขนานกับพื้นโลกแล้วขยับขึ้นลงนิดๆอย่างพลิ้วไหว สวยงาม สายตาก็มองตรงเข้าไปในรถสีสันสดใสดูไฟสีแดงแสดงสถานะ”ว่าง”
(ทั้งๆที่ไม่มีไฟแสดงคำว่า”ไม่ว่าง”ซักหน่อย เวลาวิ่งเร็วๆก็อ่านไม่ทัน ฝรั่งก็อ่านไม่ออก ผมเลยไม่ค่อยเข้าใจนักว่าจะทำไฟให้มันเป็นคำว่า”ว่าง”ทำไม ทั้งๆที่ปัจจุบันก็ดูกันแค่ที่สีแดงเท่านั้น ตลกดี)

...พี่ครับ ไปพุทธมณฑล สาย2 ครับ...

ผมปล่อยประโยคนี้ไปกระทบหูพี่คนขับ หลังจากที่แง้มบานประตูออก

...หงึก...(เสียงของอาการพยักหน้าว่า”โอเค” แต่ผมก็ไม่เคยได้ยินเสียง”หงึก”จริงๆเสียที)

...ปึ้ง!!!!!...เสียงประตูปิด ที่ดังขึ้นพร้อมกับจุดเริ่มต้นของการเดินทาง

ใน พ.ศ.นี้ คงไม่มีใครที่ยังไม่เคยใช้บริการของแท็กซี่มิเตอร์ใช่มั้ยครับ บางคนอาจจะใช้อย่างเป็นประจำด้วยซ้ำ ผมเองก็คนนึงล่ะที่ต้องนั่งแท็กซี่หลายต่อหลายครั้งในหนึ่งเดือน ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ผมได้พบเจอเรื่องดีๆอีกหนึ่งเรื่องครับ คือเรื่องมันมีอยู่ว่า...
ที่พักของผมอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งแถวพุทธมณฑล สาย 2 โดยตำแหน่งที่ตั้งของมันนั้นเรียกได้ว่าอยู่ค่อนข้างลึก หากจะใช้เวลาเดินเข้าจากหน้าหมู่บ้าน ด้วยอัตราเร็วสบายๆ ไม่เร่ง ก็จะใช้เวลาอยู่ที่ประมาณสามสิบนาที ตัวผมเองมักจะมีปัญหากับการเดินทาง เข้า-ออก อยู่เสมอ เนื่องจากว่าพี่ๆมอเตอร์ไซด์รับจ้างมีจำนวนค่อนข้างน้อย และก็ไม่ค่อยอยากทำงานเท่าไหร่(พี่เค้าคงมาขับมอเตอร์ไซด์เพราะว่าไปบนเจ้าพ่อที่ไหนไว้ซักแห่งแน่ๆ) บ่อยครั้งผมจึงต้องเดินตากแดดที่ร้อนจัดออกมาต่อรถที่หน้าหมู่บ้านเอง แต่ก็มีบางครั้งนะครับที่โชคดีจะเรียกว่า ราชรถมาเกย ก็คงไม่ผิดนัก เพราะว่าบังเอิญมีแท็กซี่ที่วิ่งเข้ามาส่งผู้โดยสารคนอื่นแล้วต้องย้อนกลับไปออกทางเดิมวิ่งผ่านมาพอดี ซึ่งหลายครั้งที่ผมตัดสินใจขึ้นนั่งรับความเย็นและประหยัดเวลาแลกกับจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นหลายสิบ
วันนั้นเป็นวันที่แดดร้อนมาก ผมกับแฟนเดินออกจากบ้านหมายจะนั่งมอเตอร์ไซด์ไปต่อรถเมล์หน้าหมู่บ้าน แต่กวักมือเรียกเท่าไหร่พี่ๆเค้าก็ยังคงนั่งสนทนากันอย่างออกรส(ก็ทำงานแก้บนนี่นา ไม่ใช่ใจรัก ผมผิดเองที่ไปคาดหวัง) จนผมจนปัญญาจำต้องบอกกับแฟนว่าเดี๋ยวเราเดินไปหน้าหมู่บ้านกันเองก็แล้วกัน ว่าแล้วก็เริ่มเดิน เดชะบุญที่ตอนนั้นมีแท็กซี่สีส้มสดวิ่งผ่านมาพร้อมไฟแดง กำลังมุ่งหน้าไปหน้าหมู่บ้านพอดี ผมเลยโบกมือเรียกซึ่งพี่เค้าก็ชะลอรถมาจอดรับใกล้ ที่น่าตลกคือในจังหวะที่ผมโบกมือเรียกพี่แท๊กซี่นั้นเอง พี่ๆพนักงานแก้บนก็ดันนึกว่าผมเรียกแก เลยขี่รถออกมาหาซะงั้น ไม่ทันแล้วครับ ผมก้าวขึ้นรถพร้อมพร้อมกับโบกมือเป็นสัญญาณให้เค้ารู้ว่า”ไม่เอา” “ผมไม่ได้เรียก” “ผมเรียกแท็กซี่ต่างหาก” “เชิญพี่ๆสนทนาหัวข้อเรื่องโลกร้อนกันต่อไปเถอะครับ” แท๊กซี่คันนั้นมาเทียบข้างผมพอดี

...ไปจรัญฯ 71 ครับพี่... ผมบอกพร้อมกับปิดประตู
คราวนี้ไม่มี”หงึก”เหมือนทุกครั้ง แต่พี่เค้าก็หันมาด้วยสีหน้าปกติแล้วก็หันไปขับรถต่อ

...ในขณะที่นั่งรถผ่านวินแก้บน แน่นอนว่าผมถูกมองหน้าประนามว่างี่เง่าทั้งตระกูล... ซึ่งผมเองไม่ใส่ใจหรอกครับ ไม่เป็นไร คนที่รวยขนาดต้องมาทำงานแก้บนทำอะไรก็ไม่ผิดหรอกครับ

วันนี้พี่แท็กซี่เงียบมาก ปกติต้องชวนคุย ผมเลยแกล้งถามเรื่องเส้นทาง ปรากฎว่าคำตอบที่ผมที่ผมได้รับคือว่า พี่แกคงไปส่งไม่ได้หรอก พอดีบ้านแกอยู่แถวนี้ ภรรยากับลูกๆรอทานข้าวอยู่ แต่ไหนๆจะต้องออกจากหมู่บ้านอยู่แล้ว เห็นผมเรียกก็เลยจอดรับ(มิน่าล่ะ เงียบเชียว)
พอถึงหน้าหมู่บ้าน ผมก็ควักเงินให้พี่เค้าสามสิบห้าบาท(ตามมิเตอร์) แต่พี่เค้าไม่รับแถมยังบอกว่า

...ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมไปส่งที่ป้ายรถเมล์ทางโน้น ทางผ่านพอดี...

ว่าแล้วพี่เค้าก็ขับไปส่งที่ป้ายนั้นจริงๆ พร้อมกับขอโทษที่ไปส่งผมไม่ได้ แถมยังไม่รับเงินอีก
คือระยะทางจากบ้านไปป้ายรถเมล์อีกฝั่งมันไกลประมาณ 50 บาทตามมิเตอร์ครับ พี่เค้าสามารถเรียกเงินได้ตามกฎหมายเลยครับ แต่แกไม่เอาซักบาท แถมยังทอนให้เป็นรอยยิ้มและคำขอโทษอีกทั้งๆที่เค้าไม่ได้ผิดอะไรเลย อืม นาทีนั้นผมตัวฉ่ำ ฉ่ำเพราะน้ำใจของพี่เค้ามากเหลือเกินครับ สำหรับคนหาเช้ากินค่ำ วิ่งรถวันนึงจะได้ซักกี่บาท จ่ายค่าเช่า ค่าแก๊ส ค่าน้ำมันก็แทบจะไม่เหลือแล้ว ไหนจะต้องเอาไปเลี้ยงลูกเมีย แบ่งเก็บอีก แล้วยังจะมาแบ่งปันรายได้นั้นให้กับคนไม่รู้จักอย่างผมอีก ผมไม่รู้จะตอบแทนพี่แกยังไงก็เลยยกมือไหว้ขอบคุณ ซึ่งพี่เค้าก็ยิ้มและก็รับไหว้อย่างน่ารัก

วันนั้นผมกับแฟนเดินยิ้มทั้งวันด้วยความสดชื่น สดชื่นเพราะถูกเติมด้วยน้ำใจไมตรีที่ดีงาม

“รถวิ่งได้เพราะถูกเติมด้วยน้ำมันฉันใด คนเราก็ยิ้มและมีความสุขได้เพราะถูกเติมด้วยน้ำใจฉันนั้น”

จากวันนั้นมา มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกแปลกไป ผมรู้สึกว่าในบางครั้งการศึกษาหรือตำแหน่งหน้าที่ที่สูงศักดิ์ก็ไม่ได้ช่วยทำให้เราดูดีขึ้นเสมอ เราอาจมีคนเคารพนับถือยกมือไหว้ แต่นั่นมันก็เป็นเพียงการแสดงความสัมพันธ์ระหว่างสถานภาพทางสังคมเท่านั้นเอง จะมีซักกี่คนที่แสดงกิริยาเหล่านั้นด้วยความจริงใจและอยากทำจริงๆ ต่างกับการที่เราแค่มีน้ำใจให้เพื่อนมนุษย์ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กับคนรอบข้างโดยที่ไม่ต้องรอให้เค้าร้องขอ นี่ต่างหากที่ทำให้เรากลายเป็นคนที่น่าเคารพอย่างแท้จริง

...พี่แท๊กซี่ครับ วันนี้ตัวพี่อยู่สูงจริงๆครับ...

(ยิ้ม)
......

...ไปทางไหนดีครับน้อง.... เสียงพี่คนขับทักให้ผมตื่นจากภวังค์
....ไปทางสะพานพระรามแปด แล้วขึ้นทางยกระดับไปลงบางแคครับ ก่อนถึงโรงพยายาบาลธนบุรี 2 ครับพี่..... ตัวผมที่กำลังง่วงนอน ตอบไปด้วยเสียงงัวเงีย

...โอเค ได้เลย งั้นน้องนอนตามสบายเลยครับ เดี๋ยวใกล้ๆถึงแล้ว พี่ปลุก ต้องถามเส้นทางให้แน่ก่อน เดี๋ยวจะวิ่งเลย เดี๋ยวน้องต้องเสียตังค์เพิ่ม... พี่แท็กซี่พูดแกล้มเสียงหัวเราะ

...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...
ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...
ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...
ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...
ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...
ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...
ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...
ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...
ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...

...ผมยิ้มและพูดออกไปเพียงครั้งเดียว แต่ที่เหลือนั้นมันเป็นความรู้สึกที่ก้องอยู่ในใจครับ

31 มกราคม 2551

...น้ำที่กินไม่หมด...

วันนี้ผมมีเรื่องดีๆ มาเล่าให้ฟังครับ...

ปกติในช่วงเย็นของทุกๆวัน ตัวผมเองจะไปวิ่งจ๊อกกิ้งที่สวนลุมพินีกับแฟน จากนั้นก็กินข้าวเย็นด้วยกันแล้วผมก็จะกลับบ้าน โดยจะไปขึ้นรถไฟฟ้าที่มาบุญครองเพื่อไปต่อรถที่อนุสาวรีย์ กิจวัตรของผมในช่วงเย็นจะเป็นแบบนี้ซ้ำๆทุกวัน มีความสุขตามอัตภาพ สุขที่ได้ออกกำลัง สุขที่ได้กินข้าวเย็น กับคนที่เรารัก และก็สุขกับทุกอย่างที่มันดำเนินไปอย่างปกติ
...แต่วันนี้มันต่างออกไป
เหตุการณ์มันเกิดขึ้นหลังจากที่ผมล่ำลากับแฟนอย่างหวานชื่น
...เดินมาที่สถานีรถไฟฟ้าสนามกีฬาแห่งชาติ....
...แลกเหรียญ
...กดปุ่มเลือกสถานี และ...
...เริ่มหยอดเหรียญ....
แกร๊ก...(เสียงเหรียญแรกถูกกลืนกินโดยเครื่องขายตั๋ว)

....Excuse me….Kid…

บางประโยคที่มีสำเนียงแปร่งหูดังขึ้นพร้อมๆกับจังหวะที่ผมกำลังจะหยอดเหรียญที่สอง
...ผมหยุด...และหันกลับไปดู
สายตาของผมไปกระทบกับคู่สามี ภรรยาชาวต่างชาติคู่หนึ่ง ซึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นแหล่งที่มาของเสียง ประเมินจากภายนอกคาดว่าน่าจะมีอายุราวๆ 50 ปี กำลังยืนยิ้มแก้มปริอย่างใจดีอยู่ข้างหลังผม พร้อมๆกับยื่นแผ่นพลาสติกชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กมาให้
ซึ่งผมมาทราบหลังจากที่รับมันมาแล้ว ว่ามันคือ..

...ตั๋วรถไฟฟ้า...จำนวนหนึ่งใบ...

คุณลุงกับคุณป้าชาวต่างชาติบอกผมว่า...

...ไม่ต้องซื้อตั๋วหรอกพ่อหนุ่ม...เอาของลุงไปใช้เถอะ พร้อมกับยิ้มให้
ส่วนคุณป้าก็เสริมว่า...เราถึงที่พักแล้ว เราไม่ได้ใช้มันแล้วล่ะ พร้อมกับส่งรอยยิ้มมาสมทบ

ผมเอง ยืนงงอยู่เพราะสำเนียงที่ไม่คุ้นหู(ส่วนประโยคที่แปลมาให้ฟังนี้ คือความคิดของผมหลังจากที่นั่งทบทวนอยู่นานสองนาน)(ฮา)

หลังจากที่ได้สติแล้ว ผมจึงกล่าวขอบคุณคุณลุงและคุณป้าไปว่า...

Thank you very much..... Thank you very much.....

พร้อมกับรอยยิ้มกว้าง ซึ่งคุณลุงและคุณป้าก็ทำตัวเป็นเหมือนกระจกที่สะท้อนยิ้มนั้นกลับมาหาผม
เพียงแต่มันมากขึ้นเป็นสองเท่า เท่านั้นเอง แล้วท่านทั้งสองก็เดินจากไป ส่วนผมที่ไม่ค่อยมั่นใจในทักษะการแปลของตัวเองก็เดินเอาตั๋วไปให้คุณพนักงานแสนสวยช่วยเช็คให้อีกที ซึ่งเธอแจ้งกับผมด้วยน้ำเสียงสุภาพว่า

...ตั๋วนี้ใช้ได้ไม่จำกัดจำนวนรอบนะคะ แต่ว่าใช้ได้ถึงแค่เที่ยงคืนเท่านั้นค่ะ...

เธอยื่นตั๋วคืนผมพร้อมกับส่งยิ้มให้ ซึ่งผมก็ยิ้มตอบและก็สอดบัตรผ่านเครื่องกั้นเข้าไปข้างในชานชาลา ในตอนนั้นเองผมแอบเห็นรอยยิ้มของคุณพนักงานและก็พี่พนักงานรักษาความปลอดภัย มันเป็นรอยยิ้มที่น่ารัก ที่มักจะเห็นได้บนใบหน้าของผู้คนที่เห็นคนกำลังช่วยเหลือกัน ซึ่งผมก็ยิ้มให้คนทั้งคู่ ไม่นานนัก รถไฟก็มา ชั่วแวบแรกผมคิดว่า

..วันนี้โชคดีจัง ได้นั่งรถฟรี งั้นเราลองนั่งจากหมอชิต ไปอ่อนนุชซักเจ็ดสิบแปดรอบดีมั้ยนะ คุ้มดี ...

เดชะบุญที่ชาติที่แล้วผมคงทำดีมาบ้าง ผมจึงได้สติล้มเลิกความคิดแบบนั้น แล้วก็มุ่งหน้าไปอนุสาวรีย์ตามเส้นทางชีวิตปกติ

...สถานีต่อไป อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ...next station victory monument...

แค่ชั่วอึดใจผมก็ถึงจุดหมายปลายทาง ได้กลับบ้านซะที แต่จะทำยังไงกับตั๋วใบนี้ดี ทีแรกว่าจะเก็บไว้เป็นที่ระลึกว่าครั้งนึงเราเคยโชคดีแบบนี้ด้วย แต่คิดไปคิดมาแล้วรู้สึกว่า มันจะดีกว่ามั้ยถ้าผมเอาตั๋วใบนี้ไปทำประโยชน์ให้กับคนอื่นๆอีก น่าจะสมกับความตั้งใจที่คุณลุงกับคุณป้าได้ให้ไว้
ผมจึงไปยืนรอแล้วก็มอบตั๋วใบนี้ให้กับผู้โดยสารท่านอื่นอีกต่อหนึ่ง ซึ่งสิ่งที่ผมได้รับคือรอยยิ้มกว้างและคำขอบคุณ อย่างที่ผมเคยยิ้มและพูดให้เจ้าของบัตรมาก่อน
...นี่สินะความรู้สึกของสองคนนั้นตอนที่ยื่นบัตรให้ผม อืม..มันช่างน่าประทับใจเสียจริง


....ผมนั่งรถกลับบ้าน พร้อมใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม...


... พลางนั่งคิดเปรียบเทียบไปว่า
...ถ้าเกิดบัตรรถไฟฟ้าในนี้เปรียบเสมือนน้ำเปล่าหนึ่งขวดที่คุณลุงกับคุณป้าซื้อมาแก้กระหาย และทั้งสองคนก็อิ่มแล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเก็บไว้ จะทิ้งซะก็ได้ ถือไปก็หนัก พอดีในตอนนั้นมีหมูอ้วนหิวโซอย่างผมเดินผ่านมาพอดี แทนที่จะทิ้งท่านคงคิดว่าให้ไอ้หมูตัวนี้กินแทนดีกว่า มันจะได้ไม่ต้องไปซื้อกิน(หมูที่ไหนซื้อของได้ด้วย?) ถึงแม้มันจะเหลือไม่เยอะแล้ว แต่หมูตัวเล็กๆก็น่าจะกินอิ่ม
หมูอย่างผมจึงได้อานิสงส์กินอิ่ม สบายใจ ไม่เสียตังค์(หมูมีตังค์ซะด้วย) แถมยังเหลือไปถึงเพื่อนกระรอกตัวน้อยที่เดินผ่านมาอีกด้วย ถึงจะเหลือไม่เยอะ แต่กระรอกตัวเล็กๆก็น่าจะกินอิ่ม และอาจจะเหลือเผื่อแผ่ไปถึงเพื่อนตัวน้อยอื่นๆที่อยู่ระหว่างทางอีกก็ได้ ประโยชน์อันมากมายที่เกิดจากน้ำเพียงแค่ขวดเดียว

...จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณลุงกับคุณป้าเลือกที่จะทิ้ง แทนที่จะเอามาให้หมูหิวอย่างผม(หมูก็เสียตังค์อ่ะดิ)(ฮา)

...จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหมูอย่างผมกินอิ่ม แล้วเอาน้ำที่เหลือมาสาดเล่นแทนโคลน
(นั่งรถเที่ยวหมอชิต-อ่อนนุชเจ็ดสิบแปดรอบ)

...กระรอกน้อยตัวนั้นก็คงหิวโซต่อไป
...ก็แค่นั้น

......แต่ถ้าเกิดว่าวันนี้คือวันสุดท้ายที่มันจะมีชีวิตโดยปราศจากน้ำล่ะ

สิ่งเหล่านี้จะไม่มีทางเกิดขึ้น เพียงแค่เรารู้จักที่จะแบ่งปันสิ่งที่เรายังเหลืออยู่ ภายหลังจากการเติมสิ่งนั้นให้ตัวเองจนเต็มแล้ว ให้กับผู้อื่นบ้าง แทนที่มันจะกลายเป็นขยะที่ไร้ค่าไร้ความหมาย

... ใครจะรู้ว่าสิ่งเล็กน้อยที่”ไร้ค่า”สำหรับเรา อาจจะเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ที่แสน”ล้ำค่า”สำหรับคนอื่นก็เป็นได้

จากเศษน้ำที่เหลือใช้...กลายเป็นน้ำวิเศษที่ช่วยต่อชีวิตให้ผู้อื่นได้อย่างไม่รู้จบสิ้น...เพียงแค่ใช้มันอย่างรู้ค่า

หรือนี่คือสิ่งที่เรียกว่า....

....”น้ำใจ”....

10 มกราคม 2551

...ทำไม...

ทำไมว๊า...
ขอเวลาแป๊บนึงครับ
รบกวนท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งพูดหรือถามอะไรตอนนี้
...เพราะอะไรน่ะเหรอครับ

...ก็เพราะว่าผมกำลังดื่มด่ำน่ะสิ
โอ๊ววว...
ดูหนั่นเนื้อแน่นชิ้นนั้นสิ หุ้มด้วยแป้งสีเหลืองทองกรอบกรุบ เหมือนจะซ่อนความนุ่มชุ่มลิ้นภายใน ไม่ให้ทะลักออกมา...เจ้าผักสดสีเขียวเข้มกับมะเขือเทศสุกแดงปลั่งชิ้นนั้นอีก...มันคงจะปล่อยรสเปรี้ยวหวานออกมา ช่วยละลายความร้อนของเนื้อขาวกรุ่นให้อุ่นพอดีลิ้น แถมยังมีซอสรสเยี่ยมที่ช่วยเพิ่มรสชาติให้สดชื่นในทุกคำที่กลืนกิน....
โอ๊ววว...ช่างแสนสุขอะไรเช่นนี้
...ว่าแล้วก็ไปเข้าแถวซื้อดีกว่า
เอ๊ะ!!!
(เสียงอวัยวะบางอย่างของตา ดันไปสะดุดกับอะไรบางอยางที่ไม่เรียบ)
“ภาพนี้ทำขึ้นเพื่อใช้ในการโฆษณาเท่านั้น”
เอ๊ะ!!!
(แต่คราวนี้เป็น..เอ๊ะ!!!..ที่ไม่มีเสียง)
....
(เสียงไฟค่อยๆหม่นลง สวนทางกับเงินในกระเป๋าของบางคนที่กำลังตุงขึ้น)

...
“...ทำงี๊แม่งต่อยกันดีกว่าว่ะ” ผมบ่นกับเพื่อน ที่กำลังงงว่าผมหัวเสียเรื่องอะไร


“...อะไรกันนักหนาวะ” เพื่อนผมส่งเสียงย้อนกลับมากระทบหู
“...ก็ไอ้ประโยคเฮงซวยนี่ดิ” ผมพูด พลางชี้มือไปที่ประโยคดังกล่าว

ประโยคนั้นคือประโยคที่ประกอบขึ้นด้วยพยัญชนะและสระในภาษาไทยที่มีขนาดเท่าไข่ของแบคทีเรียชนิดที่อาศัยอยู่บนขนตาของม้าน้ำพันธ์แคระ
ประโยคที่แอบแฝงอยู่ในเงามืดของภาพอาหารที่น่ากินไปทุกส่วนสัด ...
...อาหารที่น่ากินจนน้ำลายทนไม่ไหว ต้องออกมาไหลเล่นบนปลายลิ้น
ประโยคที่เหมือนเป็นจุดหักมุมของเรื่องราวหวานซึ๊ง ที่พระเอกกำลังตระกองกอดนางเอกจากข้างหลังบนหัวเรือ ทุกอย่างช่างแสนจะโรแมนติก... ก่อนที่พระเอกจะถีบนางเอกตกเรือ!!!
แล้วตะโกนด่าว่า....
“...อีบ้า!!!กูชอบผู้ชายโว๊ยยยย.....ชะนี!!!!”
หลายคนอาจจะชอบ
แต่ผมคนนึงล่ะ...ที่ไม่...
“...มึงก็คิดมาก แดกๆไปเถอะ...” เพื่อนผมให้ความเห็น
“...ก็กูไม่เข้าใจว่ามันจะพิมพ์มาทำไม” ผมแสดงจุดยืน
“...เค้าเรียกว่าเทคนิคการโฆษณาโว๊ยยยย”.....”โง่จริง” เพื่อนผมให้ข้อมูลเพิ่ม

(อืมมม...ผมอาจจะโง่จริงๆ ที่ดันคิดว่าตัวเองถูกหลอก)


“...ถ้าแม่งจริงใจ ทำไมต้องเขียนวะ”
“...งี๊ก็แสดงว่า...ซื้อจริงแม่งต้องไม่ได้อย่างในรูปดิ” “แล้วก็ยั่วซะอยากเลย”
“....พอเอาเข้าจริง ก็แค่คนหน้าเหมือน” ผมคิดแบบนั้น
ผั่วะ!!!!!
(เสียงอวัยวะบางอย่างกระทบกัน)
“...แดกๆ เดี๋ยวเย็นซะก่อน”
(อืมม บางครั้งการตบหัวก็แสดงได้ถึงความห่วงใย)
....
(แน่นอนว่าไม่ใช่ครั้งนี้)

“...เออๆ...กูรู้แล้ว แต่มึงดูดิ หน้าตามันยังกะสภาโจ๊กเลย...ฮึ อาจดูคล้ายแต่ยังไงมันก็ไม่ใช่ เชอะ!!!”
“เออๆ...กินแล้วๆ ไม่ต้องย้ำ”
ผมเอาอาหารเข้าปาก
“...เฮ้ย อร่อยนี่หว่า...”


“...ก็กูบอกแล้ว ว่ามึงคิดมากไป” เพื่อนสนับสนุนความคิดเดิม
“...ฮึ ก็แน่ล่ะ มันแสดงรสชาติให้เห็นด้วยตาไม่ได้นี่หว่า จะรู้ได้ไงว่ารสชาติจะเหมือนในรูป โธ่เอ๊ยยยย”
ผั่วะ!!!!!
(เสียงอวัยวะบางอย่างกระทบกันอีกครั้ง)

ผมรู้สึกว่าการคิดมากนั้น นอกจากจะเครียดแล้ว บางทีก็เจ็บตัว

ในบรรดาประสาทสัมผัสทั้งห้าของคนเรา “ตา” และ “การมองเห็น” ถือเป็นส่วนที่ล่อแหลมต่อการถูกหลอกมากที่สุด ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะว่า เมื่อตาเห็น ก็จะส่งข้อมูลต่อไปเป็นความรู้สึก เป็นความคิด เป็นจินตนาการ ไปยังจิตใจให้คาดหวัง เช่น....
...สาวสวยคนนั้น หน้าตาก็ดี แต่งตัวก็ภูมิฐาน พูดจาก็แสนจะไพเราะ ซอกตูดของเธอคงหอมน่าดู
ถึงแม้ว่าเอาเข้าจริงอาจเหม็นจนอ๊วกแตกก็ได้
...แต่คุณก็คิดไปแล้ว

ด้วยเหตุนี้มันจึงดูไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่ ซึ่งมันแตกต่างจากระบบประสาทอื่นๆที่มักจะประมวลผลที่ตรงกับความจริงเสมอ เช่น...
รสเค็มก็คือรสเค็ม ไม่ว่ามันจะเป็นน้ำอะไร ถ้ามันเค็มก็คือ มันเค็ม
หรือ เสียงที่เพราะเสนาะหู ไม่ว่าจะเล่นจากอุปกรณ์อะไรมันก็เพราะ
หรือ สัมผัสอันแสนนุ่มนวลก็ยังคงนุ่มนวลไม่ว่ามันจะเป็นสัมผัสของใคร

แต่ที่”ตา””เห็น”อาจจะไม่เป็นอย่างที่เห็นก็ได้
ดังนั้น”ตา”จึงบอบบางที่สุดในบรรดาเพื่อนๆ ซึ่งคนที่ได้รับผลกระทบจากความอ่อนต่อโลกของดวงตาก็ไม่ใช่ใคร ก็คือ มนุษย์ปุถุชนอย่างเราๆนี่แหละ ที่มักถูกมนุษย์ที่ฉลาดและเลวกว่า เอาจุดด้อยข้อนี้มาโกยเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง ยกตัวอย่างกรณีนี้เป็นต้น ไม่ว่ายังไงก็ต้องทำภาพให้มันหน้ากินเข้าไว้
ทั้งนี้ก็เพราะ ภาพที่น่ากินจะทำให้อยากกิน...
...พออยากกินแล้วก็จะซื้อ
... พอซื้อแล้ว บางคนก็ได้เงินเข้ากระเป๋าสบายใจเฉิบ
...สะใจกันไปเลย

เวลาที่คนเราหิว หรืออยากได้อะไรมากๆ มักจะลืมเปรียบเทียบสิ่งที่ได้รับกับสิ่งที่ควรจะได้รับเสมอ
(ผมคิดเองแหละ ไม่ต้องไปค้นว่าใครคิด)

หรืออีกตัวอย่างนึง ที่พ่อค้าแม่ค้าชอบเขียนราคาให้ดูถูกลง เช่น ชอบเขียนคำว่า”ครึ่งกิโล”ตัวเล็กๆไว้มุมข้างล่าง แต่เขียนราคาให้ตัวใหญ่กว่าซักร้อยเท่า แล้วก็ใช้ล่อให้คนโง่เข้ามาติดกับ....(ซึ่งบ่อยครั้งที่เป็นผม...พอดีว่าผมโง่)
กว่าจะรู้ตัวก็สายเสียแล้ว...
...ซื้อไปก็แล้วกัน กลัวเสียหน้า...
อุตส่าห์เดินมาถึงนี่แล้ว...ไม่ได้กินทุกวันน่า....
และก็อีกหลายๆเหตุผล ที่เรามักจะสรรหามาแก้ต่างให้กับความโง่ของตัวเอง

และด้วยช่วงโหว่ตรงนี้แหละที่ทำให้กลุ่มคนที่ใช่อุบายเหล่านี้ มีกินมีใช้อย่างไม่ขาดมือ
...ก็แค่นั่งรอเหยื่อมาติดกับ

อันที่จริงจะว่าไปแล้ว
หน้าตาของอาหารที่ได้มาก็ไม่ได้เลวร้าย
แล้วมีเหตุผลอะไรที่จะต้องไปเสริมเติมแต่งให้เกินจริง

สำหรับคนที่นึกไม่ออก
ลองนึกถึงเวลาไปซื้อแผ่นโป๊ ที่หน้าปกสวยชวนฝันจนกระสันซ่าน
แต่พอได้เปิดดูจริงๆ ดันกลายเป็นคุณป้าของน้าเขยไปซะได้
....แค่คิดก็สยองแล้ว...
...ซวยฉิบ

จะดีกว่านี้มั้ย..
ถ้าเราจะคิดถึง”คนอื่น”ก่อน”ตัวเอง”ซะบ้าง
จะดีกว่านี้มั้ย...
ถ้ารูปที่โฆษณาดูสุดแสนจะธรรมดา
...แต่ของที่ได้รับกลับ...โอ้โห...สุดยอดไปเลย

เพราะในท้ายที่สุด...
คนที่”ได้”ก็คงไม่ใช่ใคร

“พวกเราทุกคนนี่แหละ”

...ถ้าคุณขอพรวิเศษได้หนึ่งข้อ...คุณจะขออะไร?

...ถ้าคุณขอพรวิเศษได้หนึ่งข้อ...คุณจะขออะไร?

ลองมาคิดกันดูเล่นๆนะครับว่า...
...ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้มันสามารถเกิดขึ้นได้จริง...คนเราจะใช้มันแบบไหนบ้าง

การดำรงชีวิตในโลกนี้ล้วนมีอุปสรรคต่างๆมากมาย ให้เราต้องคอยคิด คอยแก้ไขกันอยู่ตลอดเวลา..
...และแน่นอนว่า ในทุกทุกเรื่องนั้นมักจะบีบบังคับให้เราต้องตัดสินใจเลือกเส้นทางใด เส้นทางหนึ่งเสมอ...ย้ำ...ว่าต้องเลือกหนึ่งทางเสมอ
เป็นเรื่องธรรมดาที่ว่า..ในช่วงที่เราต้องตัดสินใจนั้น เรายังไม่พร้อมที่จะ"ตัดใจ"กับบางอย่าง........แต่เวลามันไม่เคยให้โอกาสเราขนาดนั้น

จึงมีบ่อยครั้งที่...เราต้องตัดสินใจ ทั้งๆที่ยังไม่พร้อม ...แต่มันต้องทำ

..และแน่นอนว่ามันนำมาซึ่งความเศร้าเสียใจ...อย่างเหลือเกิน

มนุษย์อย่างเราๆจึงหันเข้าหาที่พึ่งทางใจ ที่พอจะช่วยคลายความโศกเศร้านั้นได้...ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีวันเป็นจริงก็ตาม

...ใจคนนั้นช่างบอบบางนัก ในบางครั้งการที่ต้องยอมรับกับอะไรซักอย่างที่มันเจ็บปวด จึงเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก...

...แต่มันก็ต้องทำ...

ไม่มีมนุษย์คนไหนที่จะสามารถดำรงชีวิตอยู่ในโลกแห่งความฝันได้ตลอดเวลา


...ตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมาของผม
ดีบ้าง...ร้ายบ้าง...
...บ้างก็ตัดสินใจถูก...บ้างก็ตัดสินใจผิด...
แต่ผมไม่เคยกลับไปเสียใจกับมัน...ว่าตอนนั้นไม่น่าทำแบบนั้นเลย

เพราะมันคือความทุกข์ที่ไม่มีวันที่จะแก้ไขได้

คนเราไม่มีทางรู้ได้ว่าทำแบบไหนแล้วจะดีที่สุด...ไม่งั้นทั้งโลกนี้คงจะมีแต่คนที่ประสบความสำเร็จ
...ผมจึงเลือกที่จะทำวันนี้ให้ดีให้มากที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ซะมากกว่า ทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
...เวลามันไม่มีวันเดินกลับหลัง...ตราบใดที่ผมยังอยู่บนโลกใบนี้
เพื่อที่ว่า..ถ้าวันนึง ไม่ว่าผลของการตัดสินใจในครั้งนี้ของผมมันจะดีหรือร้ายยังไง...
ผมก็จะไม่มีวันเสียใจกับมัน...
...นั่นก็เพราะ"ผมทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ในขณะนั้นแล้ว"
และทุกๆสิ่งทุกอย่าง...ที่เกิดขึ้นหลังจากวันนั้นมาก็คือ สิ่งที่สำคัญที่สุด ที่ผมจะไม่มีวันเสียมันไปเพียงเพราะผมอยากจะแก้ไขอดีต

ด้วยเหตุนี้..ในโลกของผม จึงไม่มีพรวิเศษ...

...พรวิเศษที่จะมาทำลายทุกสิ่งหลังจากวันนั้น ให้กลายเป็นเพียงความว่างเปล่าที่ไร้ความหมาย

...ผมไม่เอา


...แต่ถ้ามันมีจริง...สิ่งเดียวที่ผมจะขอ...

...ผมจะขอให้ทุกอย่างที่ดีในวันนี้ ยังคงเป็นแบบนี้ตลอดไป

เพราะสิ่งที่สำคัญสำหรับผมที่สุดในตอนนี้ คือ

...คนที่อยู่กับผม...คนที่กินข้าวด้วยกัน...คนที่เที่ยวด้วยกัน...คนที่ร้องไห้ด้วยกัน...คนที่ผมเพิ่งจะแยกจากเค้ามาแค่ไม่กี่นาที...

เพราะเค้าคือ...สิ่งที่มีอยู่จริง





และเป็นคนที่สำคัญที่สุดในวันนี้


ปล. ถ้าขอพรได้อีกข้อ ผมอยากวอนขอให้พรวิเศษไม่มีจริง เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้ผมต้องเสียเค้าไป