10 มกราคม 2551

...ทำไม...

ทำไมว๊า...
ขอเวลาแป๊บนึงครับ
รบกวนท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งพูดหรือถามอะไรตอนนี้
...เพราะอะไรน่ะเหรอครับ

...ก็เพราะว่าผมกำลังดื่มด่ำน่ะสิ
โอ๊ววว...
ดูหนั่นเนื้อแน่นชิ้นนั้นสิ หุ้มด้วยแป้งสีเหลืองทองกรอบกรุบ เหมือนจะซ่อนความนุ่มชุ่มลิ้นภายใน ไม่ให้ทะลักออกมา...เจ้าผักสดสีเขียวเข้มกับมะเขือเทศสุกแดงปลั่งชิ้นนั้นอีก...มันคงจะปล่อยรสเปรี้ยวหวานออกมา ช่วยละลายความร้อนของเนื้อขาวกรุ่นให้อุ่นพอดีลิ้น แถมยังมีซอสรสเยี่ยมที่ช่วยเพิ่มรสชาติให้สดชื่นในทุกคำที่กลืนกิน....
โอ๊ววว...ช่างแสนสุขอะไรเช่นนี้
...ว่าแล้วก็ไปเข้าแถวซื้อดีกว่า
เอ๊ะ!!!
(เสียงอวัยวะบางอย่างของตา ดันไปสะดุดกับอะไรบางอยางที่ไม่เรียบ)
“ภาพนี้ทำขึ้นเพื่อใช้ในการโฆษณาเท่านั้น”
เอ๊ะ!!!
(แต่คราวนี้เป็น..เอ๊ะ!!!..ที่ไม่มีเสียง)
....
(เสียงไฟค่อยๆหม่นลง สวนทางกับเงินในกระเป๋าของบางคนที่กำลังตุงขึ้น)

...
“...ทำงี๊แม่งต่อยกันดีกว่าว่ะ” ผมบ่นกับเพื่อน ที่กำลังงงว่าผมหัวเสียเรื่องอะไร


“...อะไรกันนักหนาวะ” เพื่อนผมส่งเสียงย้อนกลับมากระทบหู
“...ก็ไอ้ประโยคเฮงซวยนี่ดิ” ผมพูด พลางชี้มือไปที่ประโยคดังกล่าว

ประโยคนั้นคือประโยคที่ประกอบขึ้นด้วยพยัญชนะและสระในภาษาไทยที่มีขนาดเท่าไข่ของแบคทีเรียชนิดที่อาศัยอยู่บนขนตาของม้าน้ำพันธ์แคระ
ประโยคที่แอบแฝงอยู่ในเงามืดของภาพอาหารที่น่ากินไปทุกส่วนสัด ...
...อาหารที่น่ากินจนน้ำลายทนไม่ไหว ต้องออกมาไหลเล่นบนปลายลิ้น
ประโยคที่เหมือนเป็นจุดหักมุมของเรื่องราวหวานซึ๊ง ที่พระเอกกำลังตระกองกอดนางเอกจากข้างหลังบนหัวเรือ ทุกอย่างช่างแสนจะโรแมนติก... ก่อนที่พระเอกจะถีบนางเอกตกเรือ!!!
แล้วตะโกนด่าว่า....
“...อีบ้า!!!กูชอบผู้ชายโว๊ยยยย.....ชะนี!!!!”
หลายคนอาจจะชอบ
แต่ผมคนนึงล่ะ...ที่ไม่...
“...มึงก็คิดมาก แดกๆไปเถอะ...” เพื่อนผมให้ความเห็น
“...ก็กูไม่เข้าใจว่ามันจะพิมพ์มาทำไม” ผมแสดงจุดยืน
“...เค้าเรียกว่าเทคนิคการโฆษณาโว๊ยยยย”.....”โง่จริง” เพื่อนผมให้ข้อมูลเพิ่ม

(อืมมม...ผมอาจจะโง่จริงๆ ที่ดันคิดว่าตัวเองถูกหลอก)


“...ถ้าแม่งจริงใจ ทำไมต้องเขียนวะ”
“...งี๊ก็แสดงว่า...ซื้อจริงแม่งต้องไม่ได้อย่างในรูปดิ” “แล้วก็ยั่วซะอยากเลย”
“....พอเอาเข้าจริง ก็แค่คนหน้าเหมือน” ผมคิดแบบนั้น
ผั่วะ!!!!!
(เสียงอวัยวะบางอย่างกระทบกัน)
“...แดกๆ เดี๋ยวเย็นซะก่อน”
(อืมม บางครั้งการตบหัวก็แสดงได้ถึงความห่วงใย)
....
(แน่นอนว่าไม่ใช่ครั้งนี้)

“...เออๆ...กูรู้แล้ว แต่มึงดูดิ หน้าตามันยังกะสภาโจ๊กเลย...ฮึ อาจดูคล้ายแต่ยังไงมันก็ไม่ใช่ เชอะ!!!”
“เออๆ...กินแล้วๆ ไม่ต้องย้ำ”
ผมเอาอาหารเข้าปาก
“...เฮ้ย อร่อยนี่หว่า...”


“...ก็กูบอกแล้ว ว่ามึงคิดมากไป” เพื่อนสนับสนุนความคิดเดิม
“...ฮึ ก็แน่ล่ะ มันแสดงรสชาติให้เห็นด้วยตาไม่ได้นี่หว่า จะรู้ได้ไงว่ารสชาติจะเหมือนในรูป โธ่เอ๊ยยยย”
ผั่วะ!!!!!
(เสียงอวัยวะบางอย่างกระทบกันอีกครั้ง)

ผมรู้สึกว่าการคิดมากนั้น นอกจากจะเครียดแล้ว บางทีก็เจ็บตัว

ในบรรดาประสาทสัมผัสทั้งห้าของคนเรา “ตา” และ “การมองเห็น” ถือเป็นส่วนที่ล่อแหลมต่อการถูกหลอกมากที่สุด ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะว่า เมื่อตาเห็น ก็จะส่งข้อมูลต่อไปเป็นความรู้สึก เป็นความคิด เป็นจินตนาการ ไปยังจิตใจให้คาดหวัง เช่น....
...สาวสวยคนนั้น หน้าตาก็ดี แต่งตัวก็ภูมิฐาน พูดจาก็แสนจะไพเราะ ซอกตูดของเธอคงหอมน่าดู
ถึงแม้ว่าเอาเข้าจริงอาจเหม็นจนอ๊วกแตกก็ได้
...แต่คุณก็คิดไปแล้ว

ด้วยเหตุนี้มันจึงดูไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่ ซึ่งมันแตกต่างจากระบบประสาทอื่นๆที่มักจะประมวลผลที่ตรงกับความจริงเสมอ เช่น...
รสเค็มก็คือรสเค็ม ไม่ว่ามันจะเป็นน้ำอะไร ถ้ามันเค็มก็คือ มันเค็ม
หรือ เสียงที่เพราะเสนาะหู ไม่ว่าจะเล่นจากอุปกรณ์อะไรมันก็เพราะ
หรือ สัมผัสอันแสนนุ่มนวลก็ยังคงนุ่มนวลไม่ว่ามันจะเป็นสัมผัสของใคร

แต่ที่”ตา””เห็น”อาจจะไม่เป็นอย่างที่เห็นก็ได้
ดังนั้น”ตา”จึงบอบบางที่สุดในบรรดาเพื่อนๆ ซึ่งคนที่ได้รับผลกระทบจากความอ่อนต่อโลกของดวงตาก็ไม่ใช่ใคร ก็คือ มนุษย์ปุถุชนอย่างเราๆนี่แหละ ที่มักถูกมนุษย์ที่ฉลาดและเลวกว่า เอาจุดด้อยข้อนี้มาโกยเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง ยกตัวอย่างกรณีนี้เป็นต้น ไม่ว่ายังไงก็ต้องทำภาพให้มันหน้ากินเข้าไว้
ทั้งนี้ก็เพราะ ภาพที่น่ากินจะทำให้อยากกิน...
...พออยากกินแล้วก็จะซื้อ
... พอซื้อแล้ว บางคนก็ได้เงินเข้ากระเป๋าสบายใจเฉิบ
...สะใจกันไปเลย

เวลาที่คนเราหิว หรืออยากได้อะไรมากๆ มักจะลืมเปรียบเทียบสิ่งที่ได้รับกับสิ่งที่ควรจะได้รับเสมอ
(ผมคิดเองแหละ ไม่ต้องไปค้นว่าใครคิด)

หรืออีกตัวอย่างนึง ที่พ่อค้าแม่ค้าชอบเขียนราคาให้ดูถูกลง เช่น ชอบเขียนคำว่า”ครึ่งกิโล”ตัวเล็กๆไว้มุมข้างล่าง แต่เขียนราคาให้ตัวใหญ่กว่าซักร้อยเท่า แล้วก็ใช้ล่อให้คนโง่เข้ามาติดกับ....(ซึ่งบ่อยครั้งที่เป็นผม...พอดีว่าผมโง่)
กว่าจะรู้ตัวก็สายเสียแล้ว...
...ซื้อไปก็แล้วกัน กลัวเสียหน้า...
อุตส่าห์เดินมาถึงนี่แล้ว...ไม่ได้กินทุกวันน่า....
และก็อีกหลายๆเหตุผล ที่เรามักจะสรรหามาแก้ต่างให้กับความโง่ของตัวเอง

และด้วยช่วงโหว่ตรงนี้แหละที่ทำให้กลุ่มคนที่ใช่อุบายเหล่านี้ มีกินมีใช้อย่างไม่ขาดมือ
...ก็แค่นั่งรอเหยื่อมาติดกับ

อันที่จริงจะว่าไปแล้ว
หน้าตาของอาหารที่ได้มาก็ไม่ได้เลวร้าย
แล้วมีเหตุผลอะไรที่จะต้องไปเสริมเติมแต่งให้เกินจริง

สำหรับคนที่นึกไม่ออก
ลองนึกถึงเวลาไปซื้อแผ่นโป๊ ที่หน้าปกสวยชวนฝันจนกระสันซ่าน
แต่พอได้เปิดดูจริงๆ ดันกลายเป็นคุณป้าของน้าเขยไปซะได้
....แค่คิดก็สยองแล้ว...
...ซวยฉิบ

จะดีกว่านี้มั้ย..
ถ้าเราจะคิดถึง”คนอื่น”ก่อน”ตัวเอง”ซะบ้าง
จะดีกว่านี้มั้ย...
ถ้ารูปที่โฆษณาดูสุดแสนจะธรรมดา
...แต่ของที่ได้รับกลับ...โอ้โห...สุดยอดไปเลย

เพราะในท้ายที่สุด...
คนที่”ได้”ก็คงไม่ใช่ใคร

“พวกเราทุกคนนี่แหละ”

ไม่มีความคิดเห็น: