04 มกราคม 2551

...วันแม่...

วันนี้เป็นวันแม่ครับ......
โดยปกติแล้ว ผมไม่เคยได้กลับบ้านที่ต่างจังหวัดเพื่อไปหาแม่เลย...
...ด้วยภาระกิจ...
...การงาน...
...หรือบางครั้งไม่มีงาน แต่เป็นวันเดียวที่จะได้หยุดงานเพื่อหายใจบ้าง...
ผมเลยแทบจะไม่ได้กลับไปบอกรักแม่เลย
ใช้วิธีส่งข้อความพร้อมกับโทรไปบอกว่ารักและขอให้แม่มีความสุขมากๆ มีสุขภาพที่แข็งแรง และรวยๆๆๆๆแทน
เพื่อนๆอย่าคิดว่ารูปแบบการกระทำเหล่านี้มันไม่สำคัญนะครับ
หลายคนอาจบอกว่า...ไม่เห็นจำเป็น แค่เป็นคนดีก็พอแล้ว แม่ก็ดีใจแล้ว
นั่นมันก็จริงอยู่...แต่เพื่อนๆลองคิดดูนะครับ
เวลาที่แม่ต้องเดินไปเจอเพื่อนแม่ ที่กำลังปลื้มกับข้อความหรือกำลังโทรคุยกับลูกอย่างน่ารัก
เป็นใครก็ต้องมีแอบเศร้าบ้างแล้วล่ะว่า...แล้วลูกฉันล่ะ
แน่นอนว่าแม่เข้าใจคุณว่าคุณกำลังทำงานหนัก...คุณกำลังเหนื่อย...
แม่เข้าใจคุณเสมอ...
ฉะนั้น...ไอ้เวลาแค่ไม่กี่นาทีที่จะพิมพ์ข้อความแล้วก็โทรหา ไปบอกรักแม่เนี่ย
ผมว่ามันคงไม่ได้กวนเวลาทำงานหรือเวลาพักผ่อนของคุณมากมายหรอกมั้งครับ
(ทุกทีเห็นส่งข้อความ โทรคุยกะแฟนทีละหลายๆชั่วโมงก็ยังทำกันได้)
นะครับ...ให้ความสำคัญกันหน่อย...นะนะ
วันนี้คนเค้าบอกรักแม่กันทั้งประเทศ...คุณไม่อยากเป็นหนึ่งในนั้นเหรอ...ช่ายมะ
สำหรับผมแล้ว....ในวันนี้ผมจะทำอย่างนี้เป็นปกติทุกปี อย่างน้อยๆวันนี้แม่ก็จะสดชื่นที่สุด ยิ้มกว้างกว่าทุกวัน
แต่มีอีกสิ่งหนึ่งนะ...ที่ผมอยากจะให้เพื่อนๆได้ลองทำกันดู...
ผมจะทำเป็นประจำในวันที่ 1 มกราคม หลังจากใส่บาตรตอนเช้าเสร็จ
นั่นคือการกราบเท้าพ่อกับแม่ แล้วขอพรผมทำติดต่อกันมาห้าปีแล้ว
ซึ่งนั่นหมายความว่า...ก่อนหน้านี้ก็ผมเขินและไม่กล้าเหมือนกับเพื่อนๆทุกคนนั่นแหละครับ
นั่นมันอาจเป็นเพราะคนไทยเรามีการแสดงออกเรื่องความรักในครอบครัวค่อนข้างน้อย
ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกครับ..ใครๆก็เป็น(คุณพ่อของผมยังไม่กล้าบอกรักย่าเลย เหอๆๆๆ)
แต่ผมมาเริ่มเปลี่ยนความคิดก็ตอนที่ ได้ไปเห็นภาพเพื่อนของผมคนนึงกำลังก้มกราบเท้าคุณพ่อของเค้าที่เพิ่งเสียไป
มันพูดด้วยน้ำตาว่า...นี่คือครั้งแรกที่เค้าได้กราบเท้าพ่อตัวเองและที่น่าเศร้าก็คือ....มันเป็นครั้งสุดท้ายซะแล้ว
ตั้งแต่นั้นมา...
ผมก็เลยเปลี่ยนความคิด...
เช้ามืดวันปีใหม่..ผมขับรถออกไปซื้อพวงมาลัยสวยๆมารอไว้
ลากน้องชายตัวเองออกมาจากที่นอน แล้วเตี๊ยมกันไว้
พอออกไปใส่บาตรตอนเช้ากลับมา...ก็เริ่มเลย
ทีแรกพ่อกับแม่ก็งงๆครับ...เพราะผมบอกว่าให้มานั่งเรียงกันบนโซฟา(ใครก็ต้องงงแหละ...นี่มันครั้งแรกนี่นา)
แล้วผมกับน้องก็เข้าไปนั่งข้างหน้าแล้วก็ก้มกราบที่เท้า...เล่นเอาพ่อผมสะดุ้งเลยครับ เหอๆๆๆๆ
ทั้งพ่อและแม่ทำตัวไม่ถูก ดูออกว่าเขินมาก แต่พ่อก็เนียน แม่ก็เนียน ทำเป็นหน้านิ่งๆยิ้มๆ(พ่อกับแม่ไม่รู้หรอกครับว่าผมกับน้องก็โคตรเกร็งและเขินเลย)
ในจังหวะที่มือของเรากราบไปแทบเท้าของพ่อและแม่เนี่ย...มันแปลกอย่างครับ...
ผมรู้สึกโล่ง...สบายใจ...เหมือนความทุกข์ทั้งหมดมลายหายไปสิ้น...มันรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกเลย
วินาทีนั้น...ผมอยากให้เวลาหยุดเดิน...แล้วค้างไว้อย่างนั้น...มันรู้สึกดีมากจนไม่รู้จะอธิบายยังไงอ่ะครับ(พิมพ์ไปก็น้ำตาไหลไป...เหอๆๆๆ)
มาได้สติอีกที ก็ตอนที่มีมืออันแสนอบอุ่นลูบลงมาที่หัว....มันอบอุ่นมากๆๆๆ...รู้สึกเหมือนกำลังใจมันเต็มเปี่ยม หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลย
แล้วผมกับน้องก็เงยหน้าขึ้นมารับพรจากพ่อและแม่....แล้วก็กอดกันนิดนึง
ไอ้จังหวะกอดนี่แหละครับ ผมน้ำตาไหลเลย เหมือนเด็กที่ถูกเพื่อนแกล้งมากอดเพื่อให้โอ๋เลย แต่ไม่ได้ร้องออกมานะครับ
มันทำให้รู้ว่า นี่แหละคือคนที่เข้าใจเราตลอดเวลาและเข้าใจเราทุกเรื่อง
เชื่อมั้ยครับว่า....
วันนั้นทั้งวัน...เรายิ้มกันทั้งบ้าน
พ่อกับแม่ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ...ซึ่งไม่ต่างจากผมกับน้องเลย
จากนั้นมา...
ผมก็ทำแบบนี้มาทุกปี...ทำเพราะอยากทำ...ไม่ใช่ทำเพราะต้องทำ....
กำลังใจดีๆที่ทำให้เรามีแรงสู้กับปัญหาที่ถาโถมตลอดทั้งปีก็มาจากตรงนี้แหละครับ
เห็นมั้ยครับว่า...บางทีเรื่องแค่นี้...มันก็ให้ผลดีมากมายกว่าที่ทุกคนคิด
ในชีวิตเราต้องใช้ความกล้ามามากมายหลายเรื่องแล้ว ดีบ้างเลวบ้างแตกต่างกันไป
แต่ทั้งหมดนั่นมันก็แค่เพื่อตัวคุณเอง....
งั้นคราวนี้มาลองใช้ความกล้าที่คุณมีอยู่แล้ว...มาทำให้คุณพ่อและคุณแม่ของคุณมีความสุขกันดีกว่านะครับ
ลองกันดูนะครับ...ไม่มีผลเสียหรอก เชื่อผม
แล้วคุณจะรู้ว่า...คุณและครอบครัวคุณ สามารถ"รัก"กันได้อย่างน่าอิจฉาแค่ไหน
เนอะๆๆ....
(ยิ้ม)




ปล.วันนี้ขอเล่าเรื่องราวดีๆในวันแม่และก็เรื่องความรักในครอบครัวให้ทุกคนยิ้มดีกว่าเนอะ...
เพราะเรื่องอื่นๆ มันไม่มีใครมารู้ดีเท่าเราหรอก...ใช่มั้ยคะ...ดันขึ้นทุกวี.....ดีขึ้นทุกวัน.....
และอีกอย่าง...วันนี้เป็นวันพ่อ...ด้วยล่ะ(ยิ้ม)(ที่จริงก็เป็นวันพ่อมาได้พักนึงแล้ว) และคงจะเป็นวันพ่อทุกวัน ตลอดไป.....(เหอๆๆๆ)

เก็บตก:พอดีดูหนังฝรั่งเรื่องหนึ่ง ที่ตัวละครมันเอาแต่พูดว่า"ฟัก....."เต็มไปหมดทั้งเรื่อง ทุกอย่างมันช่างดูโหดร้าย
ก็เลยคิดว่ามันจะดีกว่ามั้ย ถ้าเราจะเปลี่ยน"ฟ"ให้กลายเป็น"ร"ซะ เรื่องราวมันคงหวานซึ้งน่าติดตามกว่าเยอะเลยเนอะ..เหอๆๆ

ไม่มีความคิดเห็น: