17 มิถุนายน 2551

...เรื่องนี้เกี่ยวกับ "นม" ครับ...

...เรื่องนี้เกี่ยวกับ “นม”...

ก่อนที่จะเข้าสู่เนื้อความภายในนะครับ ผมต้องขอบอกก่อนว่า เรื่องที่เพื่อนๆกำลังจะได้อ่านต่อไปนี้มีความเกี่ยวข้องกับ “นม”ล้วนๆเลยนะครับ ไม่ใช่นมเม็ด นมผง หรือน้ำนมในกล่องยูเอชทีอย่างที่หลายคนพยายามจะคิดแน่นอนครับ มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ “นม”เน้นๆ ครับ นมของมนุษย์เรานี่แหละครับ นมที่มีลักษณะนามว่า “เต้า” อ่ะครับ แล้วก็จะเน้นไปที่นมของผู้หญิงด้วยนะครับ ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่าผมได้ลองวิเคราะห์และเปรียบเทียบดูแล้วว่า นมของผู้ชายนั้นไม่ได้มีอิทธิพลใดๆกับสภาพสังคมและสภาพจิตใจได้เทียบเท่ากับนมของผู้หญิงอย่างแน่นอน จึงขอเขียนเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับนมของผู้หญิงเท่านั้นครับ ดังนั้นสำหรับเพื่อนๆที่คิดว่ามันเป็นเรื่องลามกน่ารังเกียจแล้วล่ะก็ แนะนำให้ไปอ่านเรื่องอื่นๆก่อนหน้าจะดีกว่านะครับ
เอาล่ะครับ หลังจากที่ได้เตือนกันไปแล้วในย่อหน้าข้างบน ผมเชื่อว่าคงยังจะได้เจอกับเพื่อนๆทุกคนอยู่ดีเพราะเชื่อว่าเรื่องเกี่ยวกับ “นม” ที่ผมกำลังจะเขียนต่อไปนี้มันต้องมีประเด็นที่น่าสนใจอยู่อย่างแน่นอนใช่มั้ยครับ แน่นอนว่าเพื่อนๆคิดไม่ผิดหรอกครับ “นม”ของผู้หญิงนั้นเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากที่สุดสิ่งหนึ่งบนโลก

แต่อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าผมเป็นไอ้พวกโรคจิตชอบแอบดูนมของคนอื่นนะครับ เรื่องของ “นม” ที่ผมจะพูดถึงนั้นเกี่ยวกับอิทธิพลต่างๆในสังคมที่มันเกิดขึ้นจากนมเพียงหนึ่งเต้าหรือหลายเต้า รวมถึงพฤติกรรมการใช้นมอย่างผิดประภทของมนุษย์และจะวนมาจบที่ความรู้สึกของมนุษย์เมื่อได้ใช้นมอย่างถูกวิธีกันครับ

เริ่มจากเรามาลองวิเคราะห์วัตถุประสงค์ของการสร้าง “นม”ในสิ่งมีชีวิตกันก่อนนะครับ จากการที่ได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับระบบร่างกายของสิ่งมีชีวิตมาบ้าง ทำให้พอจะสรุปหน้าที่หลักของนมในสิ่งมีชีวิตได้ว่า เอาไว้ใช้สำหรับเก็บน้ำนมที่จะถูกผลิตขึ้นเพื่อเตรียมใช้เป็นอาหารมื้อแรกของทายาทตัวน้อยที่กำลังจะออกมาลืมตาดูโลก ซึ่งในน้ำนมนั้นจะมีสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตอย่างครบถ้วนและเจ้าตัวเล็กที่เพิ่งเกิดมาก็ต้องอาศัยน้ำนมนี้เป็นอาหารหลักจนกว่าจะโต ดังนั้นน้ำนมที่ถูกผลิตขึ้นจึงมีปริมาณที่มากพอสมควร ด้วยเหตุนี้เอง “นม” จึงมีลักษณะเป็นถุงน้ำที่นุ่มนิ่มที่จุได้เยอะและสามารถใช้ปากดูดได้อย่างไม่ระคายเคือง ซึ่งลักษณะตามที่กล่าวมานี้จึงไปปรากฏอยู่ที่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด ด้วยวัตถุประสงค์เดียวกันนั่นคือ

ใช้นมเพื่อการ “เลี้ยงลูก” นั่นเอง

จะมีก็แต่มนุษย์เท่านั้นครับที่แตกต่างออกไป เพราะนอกจากมนุษย์จะใช้ประโยชย์จาก “นม” ในการเลี้ยงลูกแล้ว มนุษย์ยังใช้นมในวัตถุประสงค์อื่นๆอีกมากมาย เนื่องจากว่า “นม” ในสังคมมนุษย์นั้นนอกจากจะถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเลี้ยงลูกแล้ว ในยุคแรกเริ่มนั้นยังเชื่อว่า “นม” ในมนุษย์ทำหน้าที่เป็นสิ่งเร้าตามธรรมชาติที่จะกระตุ้นให้มนุษย์เกิดกระบวนการสืบพันธุ์เพื่อขยายพันธุ์อีกด้วย แต่เนื่องจากมนุษย์เราเป็นสัตว์เพียงชนิดเดียวที่สามารถทำตัวอยู่เหนือธรรมชาติและอีกทั้งยังสามารถควบคุมสัญชาตญาณสัตว์ป่าที่อยู่ในตัวได้ เราจึงเป็นสัตว์เพียงชนิดเดียวที่สามารถเข้าสู่กระบวนการร่วมเพศได้โดยปราศจากเงื่อนไขเรื่องการสืบพันธุ์ แต่กลับร่วมเพศกันเพื่อสนองความต้องการและความสุขสมทางอารมณ์เสียมากกว่า ดังนั้น “นม” จึงถือเป็นสิ่งเร้าชั้นดีที่ผู้หญิงหลายคนอยากได้อยากมีถึงขนาดยอมไปทำศัลยกรรมเพื่อให้มันดูเย้ายวนใจ เพราะว่าพอมี “นม” แล้วงานก็มา เงินก็มา ผู้ชายก็มาและอีกหลายๆอย่างก็ตามมาอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่เชื่อลองดูดาราบนจอทีวีสิครับแค่นมใหญ่ก็ดังแล้ว หรือใครอยากดังก็แค่ทำนมหก ถึงมันจะฟังดูขำๆ แต่เอาเข้าจริงก็ได้ผลทุกราย จนทำให้เรารู้สึกว่า “นม” น่าจะเป็นอวัยวะที่สามรองจากมือและเท้าที่สามารถใช้ไต่ขึ้นที่สูงได้ หรือที่เราเรียกกันว่า “ไต่เต้า” กันนั่นแหละครับ (อันที่จริงควรจะเรียกว่าเอาเต้าไต่เสียมากกว่า)(ฮา) อีกทั้งเรื่อง “นมใหญ่” หรือ “นมเล็ก” ก็เป็นเรื่องใหญ่สำหรับผู้หญิงหลายคน จนเกือบจะเป็นเรื่องหลักๆที่ถูกทักหลังจากที่สนิทกันแล้วด้วยซ้ำ ทั้งที่มีอวัยวะส่วนอื่นให้ทักให้สังเกตุกันมากมาย แต่ก็ไม่เคยมีใครที่จะสามารถหลุดพ้นออกไปจากอิทธิพลของมันได้เลย จนกลายเป็นคำล้อประจำวัฒนธรรมไทยของเราไปแล้ว ยกตัวอย่างเช่น...อกไข่ดาว...อกลูกเกดแปะผนัง...อกไม้กระดาน...แยกไม่ออกเลยว่าด้านไหนคือด้านหน้า ด้านไหนคือด้านหลัง ฯลฯ รวมถึงผู้ชายบางคนยังเอาเหตุผลนี้มาเป็นข้ออ้างในการ “เลือก” หรือ “เลิก” เสียด้วยซ้ำ นั่นก็เป็นเพราะอิทธิพลของ “นม” ที่มันส่งผลกับสังคมเรานั่นเองครับ
จากทั้งหมดที่กล่าวมานั้นจะเห็นได้ว่าอิทธิพลของ “นม” นั้นมีมากมายขนาดไหนใช่มั้ยครับ ปัจจุบันมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทยไปโดยปริยายและพัฒนากลายเป็นความเชื่อหลักที่ดูจริงจังจนบางครั้งถึงกับต้องห้ามนำเรื่องพวกนี้มาล้อเลียนกัน เพราะถือว่ามันคือ “ปมด้อย” ที่ไม่ควรนำมากล่าวซ้ำเติมกันเลยทีเดียวครับและสุดท้ายยังมีอีกหนึ่งคุณประโยชน์ที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้เลยก็คือ “การใช้นมเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญในการร่วมเพศของมนุษย์”

“การใช้นมเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญในการร่วมเพศของมนุษย์” นั้นถือเป็นการใช้นมอย่างผิดวัตุประสงค์ในการสร้างที่ดูจะจริงจังและมีความเป็นสากลที่สุดเมื่อเทียบกับเรื่องอื่นๆ อีกทั้งมันยังได้พัฒนาจนกลายไปเป็นแบบแผนในการมีเพศสัมพันธุ์ของมนุษย์ ที่ใช้ปฏิบัติกันจนเป็นเรื่องปกติไปซะแล้ว มาถึงย่อหน้านี้ผมก็ยังขอย้ำนะครับว่า ไม่ได้มีเจตนาจะเขียนเรื่องลามกอนาจารแต่อย่างใด เพียงแต่มันมีความสำคัญมากที่ผมจะต้องยกเอาเรื่องบทบาทของนมในการร่วมเพศมาเปรียบเทียบให้เห็นกันก่อน เนื่องจากมันจะทำให้เกิดข้อเปรียบเทียบที่ชัดเจนในบทสรุปตอนท้าย ซึ่งยังให้คำแนะนำเพื่อนๆเหมือนเดิมคือ ...ไม่เหมาะสำหรับคนขวัญอ่อนนะครับ....(ฮา)

ปัจจุบัน “นม” ถือเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญมากไม่แพ้อวัยวะอื่นใดในการร่วมเพศของมนุษย์นะครับ เพราะเป็นจุดสำคัญในการเล้าโลมโหมอารมณ์และยังเป็นอวัยวะที่สามารถใช้งานได้ตลอดเวลาที่ดำเนินภาระกิจ เนื่องด้วยลักษณะของนมนั้นมีลักษณะเป็นถุงนุ่มนิ่ม ยื่นออกมาจากร่างกาย มีจงอยเล็กๆนิ่มๆยื่นออกมาจากตำแหน่งกึ่งกลางเต้า หรือที่เราเรียกว่า “หัวนม” นั่นเองครับ มันใช้ทำหน้าที่เป็นท่อปลายทางของการลำเลียงน้ำนมอันมากด้วยคุณค่ามาสู่ปากของลูกน้อยในยามที่มนุษย์เราต้องแปลงสภาพกลายเป็น “แม่”นั่นเองครับ ซึ่งเราจะคุ้นเคยกับมันมาตั้งแต่เราลืมตาออกมาดูโลกเป็นครั้งแรก ตั้งแต่ยังจำอะไรไม่ได้ด้วยซ้ำไป อีกทั้งขนาดของ “นม” นั้นยังมีขนาดพอเหมาะพอดีกับมือของมนุษย์ ดังนั้นเราจึงสามารถ “ใช้งาน” “นม” ได้โดยสัญชาตญาณอย่างที่ไม่ต้องมีใครมาสอน นั่นคือการ...บีบ...คลึง...เค้น...ขยำ...เลีย...และที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ “การดูด”ครับ ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่าอาการของคนที่โดน “ดูด”นมนั้น จะมีอาการสุขเสียวสะท้านไปทั้งร่างกายจนถือได้ว่าเป็นพฤติกรรมหนึ่งที่จะละเลยไม่ได้ในการร่วมเพศเลยทีเดียว (อันนี้ผมสังเกตุจากภาพยนต์ญี่ปุ่นหลายๆเรื่องอ่ะนะครับ โปรดอย่าได้คิดเป็นอื่น)

แต่จุดนี้นี่แหละครับที่มันสำคัญ(เฮ้อออ ได้เข้าเรื่องซะที เขียนจนจะกลายเป็นนิยายอีโรติกอยู่แล้ว เหอๆ)ที่ว่ามันสำคัญนั้นก็คือ มันเริ่มจากความสงสัยใคร่รู้ของผมเองที่ว่า มนุษย์เพศหญิงนั้นเมื่อเข้าสู่ระบบการสืบพันธุ์ “นม” ของเธอจะถูกใช้โดยจุดประสงค์อื่นก่อนที่จะได้มาใช้เป็นถุงเสบียงสำหรับเจ้าตัวน้อย ดังนั้นอย่างที่ได้บอกไปแล้วว่า การที่เราใช้นมในการร่วมเพศนั้นมันจะก่อให้เกิดความรู้สึกแบบไหน ซึ่งถ้าการร่วมเพศนั้นเป็นไปในระยะที่อุดมสมบูรณ์ของฝ่ายหญิง เธอก็จะให้กำเนิดเจ้าตัวน้อยออกมา ตอนนี้แหละครับที่ผมสงสัยมากว่า ตอนที่ผู้หญิงจะต้องเปลี่ยนหน้าที่ของ “นม” จากเป็นอวัยวะที่สร้างความสุขสมให้กับตนและคู่รัก ให้กลายมาเป็น อวัยวะที่ใช้สำหรับมอบสารอาหารแก่ลูกน้อย ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นมันจะเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร ในเมื่อการใช้งานนั้นมันมันต้องใช้กิริยาอาการ “ดูด” เหมือนกัน ที่ตัวผมเองเกิดข้อสงสัยนี้ไม่ได้มีเจตนาที่จะดูถูกเพศแม่แต่อย่างใดนะครับ เพราะผมเองก็รักแม่ของผมมาก เพียงแต่มองมันอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ว่า

.......ถ้าไอ้ต่อมรับความรู้สึกจากการดูดนั้นมันยังเป็นต่อมเดิม ดังนั้นถ้าเกิดกิริยาเดิมขึ้นที่บริเวณนั้นมันก็น่าจะให้ความรู้สึกแบบเดิมด้วย.......ไม่ใช่หรือครับ

แต่สิ่งที่น่าแปลกคือคำตอบจากเหล่าเพื่อนๆผู้หญิงของผมต่างหากครับ เธอมีเจ้าตัวน้อยกันทุกคนแล้วผมจึงไม่อายที่จะถามกันตรงๆว่า ไอ้ความรู้สึกตอนที่โดนเจ้าตัวน้อยดูดนมเป็นครั้งแรกเนี่ย มันรู้สึกยังไง เสียวแปล๊บ จั๊กจี้ คันหรืออะไรอีกมากมายที่ผมยกตัวอย่างให้เธอเลือก แต่เพื่อนๆเชื่อมั้ยครับคำตอบที่ผมได้รับจากปากเพื่อนทุกคนก็คือ....

“เจ็บ”
แต่มันเป็นความเจ็บที่แปลกประหลาด เพราะว่ามันรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก มันรู้สึกเหมือนชีวิตของเรากับเจ้าตัวน้อยที่ปากกำลังดูดอยู่ที่นมของแม่อย่างเอาจริงเอาจังมันหลอมรวมกันเป็นร่างเดียว อบอุ่นมากๆ อบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก เพื่อนของผมบางคนถึงกับน้ำตาไหลร้องไห้ออกมา เธอว่ามันเป็นความรู้สึกที่ดีมากอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน คนแล้วคนเล่าที่ผมเฝ้าถามเพื่อหาคำตอบที่เป็นกลางแต่ไม่มีครั้งใดเลยที่ผมจะได้คำตอบอย่างอื่น
คงเป็นนี่กระมังสิ่งที่จะเปลี่ยนโลกนี้ได้ สิ่งที่อยู่เหนือกฏเกณฑ์ทุกอย่าง สิ่งที่ทำให้ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงได้เสมอ สิ่งที่แม้แต่ระบบประสาทอันแสนเที่ยงตรงของมนุษย์ก็ยังต้องหลีกทางให้กับ...

... “จิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก” ...

ที่แม่ผู้ให้กำเนิดถ่ายทอดออกมาสู่ลูกน้อยเป็นสายใยที่แน่นเหนียวที่สุดในโลกนี้ นี่กระมังคือความลับของจักรวาลที่ทำให้โลกนี้ยังคงน่าอยู่มาจนถึงปัจจุบัน

.......................ดังนั้น เรามารักคุณแม่กันให้มากๆนะครับ...(ยิ้ม)........................

ปล.บอกแล้วว่าไม่ลามก อิอิ เห็นมั้ย อ่านแล้วก็ยิ้มกันทุกคน เหอๆ กริ๊วววววววววววววววววววววววววววว

15 มิถุนายน 2551

...เทคโนโลยีดีจริงหรือ?...

เทคโนโลยีทางการแพทย์ในปัจจุบันก้าวล้ำไปมากแล้วนะครับสำหรับโลกใบนี้ ทุกวันนี้เราสามารถทำอะไรได้หลายอย่างที่ไม่เคยทำได้มาก่อน ทำได้แม้กระทั่งการสร้างสิ่งมีชีวิตแบบก๊อปปี้หรือที่เราเรียกว่า “โคลนนิ่ง” ขึ้นมาใหม่ อาจเป็นไปได้ว่า วันหนึ่งโลกของเราอาจกลายเป็นโลกแบบหนังเรื่อง “the Island” สำหรับคนที่ไม่เคยดูนะครับ หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เปิดตัวด้วยชีวิตของคนกลุ่มนึงที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เราไม่คุ้นเคย ซึ่งเรามารู้ภายหลังว่ามันคือโลกจำลองที่ถูกสร้างขึ้นไว้เพื่อให้เหล่ามนุษย์ที่ถูกโคลนนิ่งขึ้นมาได้อาศัยเพื่อรอวันที่จะถูกนำไปชำแหละเอาชิ้นส่วนใดชิ้นส่วนหนึ่งไปทดแทนให้กับเจ้าของร่างกายต้นแบบ อธิบายให้เข้าใจง่ายๆก็คือคนเหล่านี้ถูกโคลนขึ้นมาเพื่อฆ่าเอาอวัยวะนั่นแหละครับ มีชีวิตเกิดมาเพื่อรอวันตายเท่านั้น ฟังดูน่าเศร้าเนอะ ว่ามั้ยครับ
แต่อย่ากังวลไปเลยครับ เรื่องที่จะเอามาเล่าวันนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับหนังเรื่องนี้หรือการโคลนนิ่งใดๆครับ ผมเพียงไปพบเจอข้อสังเกตุที่น่าคิดบางประการเกี่ยวกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทางการแพทย์ของมนุษย์เรา ว่าในท้ายที่สุดแล้วมันจะก่อให้เกิดประโยชน์กับวิวัฒนาการของเราจริงหรือ เรื่องมันมีอยู่ว่า.....
เย็นวันนี้น้องอ้อ(สุดที่รักของผม)เพิ่งกลับจากฝึกงานอ่ะนะครับ อ่อ ลืมบอกไปว่าน้องอ้อเรียนสัตวแพทยศาสตร์อยู่ที่จุฬาฯครับ แล้ววันนี้มีเรื่องมาเล่าให้ผมฟังเกี่ยวกับเคสที่เจอสองวันติดกัน นั่นก็คือเคสที่น้องหมาคลอดลูกไม่ได้ครับ เจ้าของเลยต้องเอามาที่โรงพยาบาลเพื่อให้คุณหมอผ่าออก อืมมม ดูจะเป็นเรื่องที่แสนธรรมดาไปแล้วใช่มั้ยครับสำหรับการดูแลสุนัข ที่ปัจจุบันเจ้าของบางคนรักเหมือนกับลูกของตัวเองเลย ดังนั้นการดูแลอะไรหลายๆอย่างจึงคล้ายคนเข้าไปทุกทีแม้กระทั่งการคลอดลูก (ไม่รู้ว่าในอนาคตจะมีการบล็อคหลังแล้วให้เจ้าของเข้าไปดูตอนผ่าด้วยหรือเปล่า.....เหอๆ )
ด้วยตัวผมเองนั้นมีประสบการณ์ในการเลี้ยงน้องหมามาตั้งแต่เด็กครับ เพราะคุณพ่อและคุณแม่ชอบหมา ผมเองจึงได้มีประสบการณ์ร่วมในเหตุการณ์ที่น้องหมาที่แสนน่ารักจะคลอดลูกบ่อยครั้ง เลี้ยงหมามาหลายสิบตัว เห็นหมาคลอดมาหลายสิบครั้ง คลอดออกมามีตายไปบ้างแต่ก็รอดซะส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่เคยจะไปทำอะไรมัน ไม่เคยสนใจที่จะจับมันไปทำอัลตร้าซาวน์อย่างที่คนทุกวันนี้ทำกัน ได้แต่ปล่อยให้มันเป็นธรรมชาติของมันเท่านั้นเอง ไม่รู้ว่าถูกหรือผิด เพียงแต่คิดว่าทางออกตามธรรมชาติน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
บ่อยครั้งนะครับที่มนุษย์เรามักเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางในการตัดสินว่าอะไรดี อะไรไม่ดีอยู่เสมอๆ ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้วสิ่งอื่นที่เราคิดว่ามันแย่สำหรับเรา มันอาจจะดีที่สุดสำหรับบางชีวิตก็เป็นได้ ซึ่งนั่นมันก็เป็นเพราะว่าเราเกิดมาแตกต่างกันนั่นเอง มีใครเคยรู้บ้างมั้ยครับว่าน้องหมามันชอบมั้ยที่ถูกจับแต่งตัวประหลาด อาจดูน่ารักในสายตามนุษย์แต่ความรู้สึกจริงๆของมันแล้วมันชอบหรือเปล่า ถ้าเทียบกับได้อยู่แบบปล่อยขนโล่งๆ มันจะชอบอันไหนมากกว่ากัน หรือแม้แต่เรื่องนี้ เรื่องที่เพิ่งเล่าไปเกี่ยวกับการผ่าตัดทำคลอดให้หมา จะต่างกันนิดหน่อยก็ตรงที่เรื่องนี้มันเกี่ยวกับความเป็นความตายมากกว่าความสวยงามก็เท่านั้น
ผมเชื่อในพลังแห่งธรรมชาติมาตลอดนะครับ ที่ไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะร้ายแรงซักแค่ไหน มันก็จะมีทางออกของมันเสมอ ซึ่งวงจรชีวิตของสัตว์ต่างๆบนโลกนี้ล้วนแล้วแต่อยู่ภายใต้ระบบของธรรมชาติทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น มันจะมีสัตว์ชนิดหนึ่งที่หน้าตาคล้ายหนู(ผมจำไม่ได้แล้วว่ามันคือตัวอะไร) ที่ในทุกๆปีมันจะผลิตประชากรออกมามากมาย แล้วเมื่อถึงวันหนึ่งในรอบปีมันก็จะโดนน้ำซัดลงไปตายเกลื่อน ลอยเท้งเต้งอยู่ในทะเล จากปริมาณที่เห็นแทบจะเรียกได้ว่ามันคือการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ซะด้วยซ้ำ แต่ที่แปลกก็คือในทุกรอบปีภายหลังโศกนาฏกรรมครั้งนี้ มันก็จะมีพ่อพันธุ์แม่พันธุ์รุ่นใหม่ผลิตประชากรรุ่นใหม่ออกมาเสมอ ชีวิตของมันจะเริ่มต้นใหม่เสมอ นี่มันอาจจะเป็นการรักษาสมดุลย์ทางธรรมชาติที่ช่วยไม่ให้สิ่งมีชีวิตอื่นต้องได้รับความเสียหายจากการเจริญพันธุ์ของเจ้าสัตว์พันธุ์นี้หรือเปล่า หรืออีกกรณีที่เห็นได้ชัด เช่น หมีแพนด้าที่แม้ว่ามันจะมีโอกาสตกลูกได้น้อยมาก มันก็ไม่เคยจะสูญพันธุ์ ยังคงผลิตลูกหลานรุ่นใหม่ออกมาอย่างสม่ำเสมอมาตลอดหลายร้อยปี ซึ่งทุกๆชีวิตบนโลกใบนี้ก็ควรจะเป็นเช่นนั้น เกิดมาเพื่อทำหน้าที่อะไรบางอย่างที่สัมพันธ์สอดคล้องและให้ประโยชน์กับสิ่งอื่นจนถึงขีดสุดที่มันจะไม่ไปทำลายระบบอื่นได้ จากนั้นก็จะถูกโละทิ้งเพื่อเริ่มรอบชีวิตใหม่ วนเวียนเช่นนี้ไปเป็นวัฎจักรของโลก ซึ่งนี่คือเหตุผลที่ทำให้โลกเราคงอยู่มายาวนานจนถึงปัจจุบัน
แต่สิ่งหนึ่งที่ตั้งแต่เกิดมาก็มักจะทำตัวอยู่เหนือกฏเกณฑ์ของธรรมชาติเสมอ มักจะเข้าไปทำลายระบบนิเวศน์ของสิ่งอื่นเสมอ อีกทั้งยังคอยหาเหตุผลมาสนับสนุนให้ตนดูดีอยู่เสมอนั่นคงไม่ใช่ใคร ก็คือมนุษย์อย่างเราๆท่านๆนี่เองที่พยายามจะทำทุกอย่างให้มันดีขึ้นโดยที่ไม่ได้สนใจระบบเดิม ก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นอย่างมากมาย สัตว์หลายชนิดต้องสูญพันธุ์ไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งหมดที่กล่าวมามันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะมนุษย์เราออกล่าอย่างไร้เหตุผลอย่างเดียวเท่านั้น แต่มันยังรวมถึง “ความรัก”ที่ก่อให้เกิดเทคโนโลยีทางการแพทย์บางอย่างที่เหมือนจะดีในส่วนย่อย แต่เอาเข้าจริงในภาพรวมมันกลับเป็นการทำลายระบบการคัดสรรที่ดีเยี่ยมตามธรรมชาติไปเสียแล้ว อย่าเพิ่งสงสัยนะครับว่ามันจะวนเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องช่วยน้องหมาคลอดลูกยังไง อดทนอ่านอีกนิดเถอะครับ ผมอยากเล่าให้ฟังเกี่ยวกับระบบการคัดสรรตามธรรมชาติอย่างคร่าว ซึ่งมันน่าจะช่วยให้เพื่อนๆที่กำลังอ่านอยู่สามารถเข้าใจได้ง่ายขึ้นว่า เทคโนโลยีเหล่านั้นมันมีผลเสียอย่างไร
เริ่มจากที่ได้เล่าไปแล้วว่าธรรมชาติมันจะทำการรักษาสมดุลย์ด้วยตัวมันเอง อะไรที่มันมากจนเกิดผลเสียก็ต้องทำลายทิ้งซะบ้าง อะไรที่มันน้อยจนเกิดผลเสียก็ต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงซะบ้าง งงกันใช่มั้ยครับว่าไอ้อย่างหลังมันคืออะไร ที่จริงมันก็คือระบบคัดสรรของธรรมชาตินั่นเองครับ ที่จะคัดเอาเฉพาะสายพันธุ์ที่แข็งแกร่งเพียงพอต่อการอยู่รอดในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง เพื่อให้มันสามารถดำรงอยู่ได้และเอื้อประโยชน์ต่อสิ่งอื่นต่อไปนั่นเองครับ ยกตัวอย่างเช่น มีงูชนิดหนึ่งที่มีไม่มีพิษอะไร เกิดมาก็ถูกนกจับกินอยู่ร่ำไป ไม่นานนักก็คงจะถึงการสูญพันธุ์เนื่องจากปริมาณมันลดลงและสายพันธุ์ก็ไม่แข็งแกร่งพอจะอยู่บนโลกใบนี้ได้ ธรรมชาติจึงได้เล่นตลกทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สีผิวของมัน ซึ่งดันไปคล้ายกับงูมีพิษชนิดหนึ่ง ทำให้นกซึ่งมองจากที่สูงแยกแยะไม่ออก ไม่กล้ากิน มันจึงรอด พอรอดแล้วก็ขยายพันธุ์ได้จนในที่สุดมันก็อยู่ยงมาจนถึงทุกวันนี้ อันที่จริงแล้วจะเรียกสิ่งนี้ว่าความบังเอิญก็คงไม่ผิดนักครับ เพราะกว่าที่จะมันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่สีผิวจนไปคล้ายกับสีของงูมีพิษได้ มันต้องใช้เวลาหลายร้อยปี แต่ก็อีกนั่นแหละครับ ผมก็ยังเชื่อว่านี่คือกระบวนการที่สมบูรณ์ที่สุดอยู่ดีเพราะว่าสิ่งที่เหลืออยู่ในปัจจุบันคือสิ่งที่ถูกคัดสรรมาแล้วว่าอยู่ได้ และกระบวนการนี้ก็ยังไม่เคยที่จะหยุดทำงานเลยซักวันเดียว ไม่เชื่อก็ลองสังเกตุกันดูสิครับ ว่าจู่ๆก็จะมีโรคประหลาดอะไรเกิดขึ้นมาใหม่อีก แล้วก็คร่าชีวิตคนและสัตว์ไปอีก สิ่งที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่รอด กลายเป็นเมล็ดพันธุ์ใหม่ของชีวิตในโลกหน้า
ทีนี้มาเข้าเรื่องของเรากันเลยดีกว่าครับ อย่างที่ได้เกริ่นไปแล้วตั้งแต่ต้นนะครับว่า น้องอ้อ(สุดที่รักของผม)เพิ่งจะได้ไปช่วยทำคลอดน้องหมาซึ่งไม่สามารถออกลูกเองได้ตามธรรมชาติ ที่ทำไปนั้นก็เพราะความรักกลัวน้องหมาจะตาย กลัวลูกน้องหมาจะตาย ซึ่ง “ความรัก”ถือเป็นเรื่องดีครับ แต่เรามาลองคิดดูกันสักนิดดีมั้ยครับว่า ไอ้สิ่งที่เรากำลังทำอยู่นั้นเนี่ย มันไปทำลายระบบคัดสรรตามธรรมชาติหรือเปล่า จะเป็นไปได้มั้ยว่าไอ้การที่น้องหมามันไม่สามารถคลอดได้เองนั้น มันเป็นความบกพร่องที่สมควรจะได้รับการถูกคัดทิ้ง เพื่อรักษาสายพันธุ์ที่สมบูรณ์และไร้ปัญหาที่จะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ในสภาพแวดล้อมปัจจุบันที่เริ่มโหดร้ายลงทุกที จะเป็นไปได้มั้ยว่าสิ่งที่เรากำลังทำกันอยู่นั้นกำลังไปทำให้สายเลือดที่จะออกมาจากน้องหมาตัวนี้ไม่สามารถดำรงชีวิตต่อไปได้อย่างปกติ เพราะทุกครั้งที่จะออกลูกก็ต้องอาศัยการผ่าตัด แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเกิดว่ามันไม่ได้อยู่ในมือหมอหรือมนุษย์คนใดที่จะผ่าให้มันได้ และจะเกิดอะไรขึ้นถ้าสายพันธุ์นี้แพร่กระจายออกไปแต่ไม่มีหมอคอยผ่าอีกต่อไป มันจะเป็นยังไงในช่วงวินาทีนั้น .....

....ถ้ามันเป็นอย่างที่ผมคิด นี่มันคงไม่ต่างอะไรกับการสังหารหมู่ ไม่ต่างอะไรกับการเอายาพิษให้มันกินแล้วก็รอเวลาที่มันจะตายด้วยพิษยา....

เรื่องราวมันจะเป็นแบบนี้หรือไม่ แน่นอนว่าผมไม่มีทางรู้ เพราะผมเป็นแค่สถาปนิกธรรมดาๆคนหนึ่ง ที่ชอบคิดไปเรื่อยเปื่อย หวังเพียงอยากเห็นทุกชีวิตที่เคยอยู่ด้วยกันได้มีความสุขตามอัฒภาพและอยู่ภายใต้ระบบคัดสรรและการรักษาสมดุลย์ของธรรมชาติก็เท่านั้น เพื่อที่โลกเราจะได้คงอยู่อย่างใสสะอาดตลอดไปครับ


ปล.ทั้งหมดที่กล่าวมามิได้มีเจตนาที่จะไปกระทบกระแทกผู้ใดนะครับ เป็นเพียงความคิดเห็นหนึ่งของผมเพียงคนเดียวเท่านั้น ด้วยหวังว่า จากการกระทำที่เกิดจากความรักนั้น เมื่อแก้ไขเรื่องเร่งด่วนไปแล้ว อย่าลืมไปแก้ไขกันที่ต้นตอของปัญหาด้วยนะครับ เพื่อที่วันข้างหน้าเราจะได้ไม่ต้องกลับมาแก้เรื่องเดิมกันอย่างไม่รู้จักจบสิ้นอีกต่อไป ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกความพยายามนะครับ น้องอ้อสู้ๆคร้าบบบบบบบ อิอิ

26 กุมภาพันธ์ 2551

...ตาน้ำกับความอดทน...

คุณๆเคยสงสัยกันมั้ยครับว่า
...เวลาที่เรามีเรื่องขัดแย้งระหว่างคนสองคนไม่ว่ากับเพื่อน กับแฟนหรือกับใครๆก็ตาม
...เรื่องที่ทำให้อีกฝ่ายนึงไม่สบายใจ ไม่มีความสุข เรื่องที่ทำให้ทะเลาะกันทุกครั้งที่คุย
...เรื่องที่คอยบั่นทอนเวลาแห่งความสุขระหว่างคนทั้งสองให้ลดลงทุกที
...ทั้งๆที่ในที่สุด เราก็เปลี่ยนแปลงไปในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ แต่ทำไมบ่อยครั้งจึงต้องจบด้วยการเลิกรา แยกจากกันไปทั้งที่ยังรักกัน แต่ความรู้สึกระหว่างเรากลับไม่เหมือนเดิม และสุดท้ายก็กลายเป็นคนที่ไม่รู้จักกันไปในที่สุด

...อันที่จริงแล้วเหตุผลมันมีอยู่...แต่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะคำนึงถึง ด้วยคิดว่าแค่เปลี่ยนสิ่งที่ขัดแย้งกันนั้นก็คงจะพอ โดยไม่ได้สนใจระยะเวลาที่กำลังเดินผ่านไป แต่หารู้ไม่ว่า ”เวลา” นี่แหละคือตัวแปรสำคัญที่สุดที่จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างให้ดีขึ้นได้ หรือทำลายทุกอย่างที่สั่งสมมาให้ราบคาบได้ภายในพริบตาเดียว
...ว่าด้วยเรื่องความอดทนของคนนั้นมันมักจะมีขีดจำกัด มากน้อยแตกต่างกันไปตามแต่สถานการณ์และความสามารถเฉพาะบุคคล แต่ถึงแม้ว่ามันจะมีขีดจำกัดอย่างไร ความอดทนนั้นๆก็สามารถเพิ่มขึ้นได้เสมอ โดยสัมพันธ์กับระยะเวลาที่จะต้องอดทนเรื่องนั้นๆ ...
...เปรียบเหมือนกับตาน้ำที่ผุดออกมาเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง ถ้าไม่มีการใช้น้ำเกินความสามารถในการผุด มันก็ไม่มีวันหมด เหลือมากบ้างน้อยบ้างคละกันไป แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มีการใช้น้ำนั้นเกินกำลังที่มันจะผลิตได้ ตาน้ำนั้นมันก็จะแห้งเหือด ทำได้เพียงรอเวลาที่กระแสน้ำจากส่วนไกลเดินมาถึง แน่นอนว่าบางชีวิตอาจจะรอไม่ไหวล้มตายกันไปก่อน...
...จะว่าไปตาน้ำนั้นมันก็เหมือนกับความอดทนอดกลั้นของคนเรา เช่นถ้าเกิดว่า เราทะเลาะกับใครวันนี้ เราทำให้เค้าไม่พอใจกับเรื่องนี้ วันแรกความอดทนของอีกฝ่ายยังเต็มเปี่ยม ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็คงดีกัน

....ต่อมาเกิดเรื่องเดิมอีก...ก็ยังพอทนได้ เพราะมันใช้ยังไม่หมดแถมยังถูกเติมกลับมาบางส่วน เดี๋ยวก็คง คืนดีกัน แต่อาจช้ากว่าครั้งแรกไปบ้าง

...ต่อมาอีก เกิดเรื่องเดิมอีก ก็ยังพอทนได้ เพราะความอดทนเหลือน้อยและถูกเติมยังไม่ทัน เลยอาจต้องใช้เวลานานหน่อย

...ต่อมาอีก เรื่องนี้ก็เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า........จนความอดทนมันเติมไม่ทัน....
และเมื่อนั้นความแตกหักก็จะบังเกิด

...แน่นอนว่าในช่วงเวลานั้น มันเป็นจุดที่ต้องตัดสินใจว่าคุณจะยังเป็นเหมือนเดิมเพื่อแลกกับความเป็นตัวคุณ แต่ก็อาจเสียเค้าไป หรือคุณจะยอมเปลี่ยนแปลงเพื่อแลกกับอีกหนึ่งคนที่รักคุณ แต่คุณก็ต้องแลกกับความเป็นตัวคุณบางอย่างที่ต้องหายไป
..... อยู่ที่เราเท่านั้น ว่าเห็นอะไรสำคัญกว่า แล้วก็ตัดสินใจและยอมรับผลของมัน ก็เท่านั้น

...ไม่มีใครถูก และก็ ไม่มีใครผิด...

...ฟังดูเหมือนเข้าใจง่าย แต่มันไม่ง่ายแบบนั้นหรอกครับ
...เพราะในทุกๆครั้งที่เรื่องเหล่านี้เกิด...คุณก็มักจะต้องเสียเค้าไปอยู่ดี ทั้งที่ๆคุณก็เลือกในสิ่งที่เค้าต้องการ
...ทำไมน่ะเหรอครับ

...ก็เพราะว่าคุณตัดสินใจ”ช้า”ไปยังไงล่ะครับ...

... คุณใช้โควต้าของความอดทนที่อีกฝ่ายมีหมดไปซะแล้ว และมันก็ยังวิ่งมาเติมไม่ทัน นอกจากนั้นยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่คุณๆอาจลืมคิดไปว่า ในทุกครั้งที่ความอดทนถูกใช้อย่างหนักหน่วงนั้น สิ่งหนึ่งที่มันตามเข้ามาเสมอเป็นเงาตามตัว ก็คือ ความอ่อนล้าและความกลัวที่มักจะเพิ่มขึ้นสวนทางกับความอดทนที่ลดลง จึงไม่น่าแปลกใจที่ในวันสุดท้ายที่คุณตัดสินใจ แม้ว่าจะเป็นการตัดสินใจที่เอื้อประโยชน์ให้กับอีกฝ่าย แต่เค้าก็ยังไม่สามารถที่จะอยู่กับคุณได้ เพราะความอดทนที่เหลือน้อยนิด บวกกับความกลัวและความอ่อนล้าแถมจิตใจยังบอบช้ำจนจำใจต้องลาจาก

ดังนั้น...การที่เราเลือกในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ โดยไม่ได้ดูระยะเวลา จึงไม่ได้เป็นตัวการันตีว่าทุกอย่างจะเหมือนเดิม เหมือนซื้อของฝากโดยไม่ดูวันผลิต พอมาถึงมือคนที่จะฝากมันก็เสียซะแล้ว

.... เสียใจ แต่ทำอะไรไม่ได้

....รัก แต่ทำอะไรไม่ได้

...ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้านัก ....

...”ทั้งๆที่รักกัน แต่ก็ไม่สามารถที่จะใช้ชีวิตร่วมกันได้”...

...และที่สำคัญมันไม่ควรเกิดขึ้นกับใครเลย

...สุดท้าย บทความบทนี้ไม่ได้เขียนขึ้นเพื่อบอกว่า...อะไรผิด ...และอะไรถูก ทั้งนี้ก็เพราะว่าไม่มีใครรู้ และไม่มีใครตัดสินได้ เพียงแต่เขียนขึ้นเพื่อบอกกล่าวถึงสภาพอารมณ์ของมนุษย์ ที่ใครหลายคนอ้างว่าไม่รู้ ไม่เคยเข้าใจ ถึงได้ละเลยและมองข้ามจนทำให้เราต้องสูญเสียสิ่งอันเป็นที่รักไป ทั้งๆที่เราก็รักเค้า และเราในที่สุดเราก็จะทำเพื่อเค้า

...แต่มัน”ช้า”ไป ไม่ทันการ

...แต่มันจะไม่มีอีกแล้ว เพราะว่าวันนี้ คุณได้รู้แล้ว...

...รีบคิดแล้วก็รีบทำกันนะครับ สิ่งดีๆรอคุณอยู่...(ยิ้ม)



ปล.ขอให้ทุกคนมีความสุขกับผลของทุกๆการตัดสินใจของคุณนะครับ เพราะผมเชื่อว่า...”คุณคิดดีแล้ว”...(ยิ้ม)

06 กุมภาพันธ์ 2551

...แท็กซี่...

…แท๊กซี่…
เราคงคุ้นตากับท่าทางเหล่านี้กันนะครับ
เอามือขวาหรือมือซ้าย ข้างใดก็ได้ที่ถนัดในตอนนั้น ยกให้มันยื่นออกไปขนานกับพื้นโลกแล้วขยับขึ้นลงนิดๆอย่างพลิ้วไหว สวยงาม สายตาก็มองตรงเข้าไปในรถสีสันสดใสดูไฟสีแดงแสดงสถานะ”ว่าง”
(ทั้งๆที่ไม่มีไฟแสดงคำว่า”ไม่ว่าง”ซักหน่อย เวลาวิ่งเร็วๆก็อ่านไม่ทัน ฝรั่งก็อ่านไม่ออก ผมเลยไม่ค่อยเข้าใจนักว่าจะทำไฟให้มันเป็นคำว่า”ว่าง”ทำไม ทั้งๆที่ปัจจุบันก็ดูกันแค่ที่สีแดงเท่านั้น ตลกดี)

...พี่ครับ ไปพุทธมณฑล สาย2 ครับ...

ผมปล่อยประโยคนี้ไปกระทบหูพี่คนขับ หลังจากที่แง้มบานประตูออก

...หงึก...(เสียงของอาการพยักหน้าว่า”โอเค” แต่ผมก็ไม่เคยได้ยินเสียง”หงึก”จริงๆเสียที)

...ปึ้ง!!!!!...เสียงประตูปิด ที่ดังขึ้นพร้อมกับจุดเริ่มต้นของการเดินทาง

ใน พ.ศ.นี้ คงไม่มีใครที่ยังไม่เคยใช้บริการของแท็กซี่มิเตอร์ใช่มั้ยครับ บางคนอาจจะใช้อย่างเป็นประจำด้วยซ้ำ ผมเองก็คนนึงล่ะที่ต้องนั่งแท็กซี่หลายต่อหลายครั้งในหนึ่งเดือน ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ผมได้พบเจอเรื่องดีๆอีกหนึ่งเรื่องครับ คือเรื่องมันมีอยู่ว่า...
ที่พักของผมอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งแถวพุทธมณฑล สาย 2 โดยตำแหน่งที่ตั้งของมันนั้นเรียกได้ว่าอยู่ค่อนข้างลึก หากจะใช้เวลาเดินเข้าจากหน้าหมู่บ้าน ด้วยอัตราเร็วสบายๆ ไม่เร่ง ก็จะใช้เวลาอยู่ที่ประมาณสามสิบนาที ตัวผมเองมักจะมีปัญหากับการเดินทาง เข้า-ออก อยู่เสมอ เนื่องจากว่าพี่ๆมอเตอร์ไซด์รับจ้างมีจำนวนค่อนข้างน้อย และก็ไม่ค่อยอยากทำงานเท่าไหร่(พี่เค้าคงมาขับมอเตอร์ไซด์เพราะว่าไปบนเจ้าพ่อที่ไหนไว้ซักแห่งแน่ๆ) บ่อยครั้งผมจึงต้องเดินตากแดดที่ร้อนจัดออกมาต่อรถที่หน้าหมู่บ้านเอง แต่ก็มีบางครั้งนะครับที่โชคดีจะเรียกว่า ราชรถมาเกย ก็คงไม่ผิดนัก เพราะว่าบังเอิญมีแท็กซี่ที่วิ่งเข้ามาส่งผู้โดยสารคนอื่นแล้วต้องย้อนกลับไปออกทางเดิมวิ่งผ่านมาพอดี ซึ่งหลายครั้งที่ผมตัดสินใจขึ้นนั่งรับความเย็นและประหยัดเวลาแลกกับจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นหลายสิบ
วันนั้นเป็นวันที่แดดร้อนมาก ผมกับแฟนเดินออกจากบ้านหมายจะนั่งมอเตอร์ไซด์ไปต่อรถเมล์หน้าหมู่บ้าน แต่กวักมือเรียกเท่าไหร่พี่ๆเค้าก็ยังคงนั่งสนทนากันอย่างออกรส(ก็ทำงานแก้บนนี่นา ไม่ใช่ใจรัก ผมผิดเองที่ไปคาดหวัง) จนผมจนปัญญาจำต้องบอกกับแฟนว่าเดี๋ยวเราเดินไปหน้าหมู่บ้านกันเองก็แล้วกัน ว่าแล้วก็เริ่มเดิน เดชะบุญที่ตอนนั้นมีแท็กซี่สีส้มสดวิ่งผ่านมาพร้อมไฟแดง กำลังมุ่งหน้าไปหน้าหมู่บ้านพอดี ผมเลยโบกมือเรียกซึ่งพี่เค้าก็ชะลอรถมาจอดรับใกล้ ที่น่าตลกคือในจังหวะที่ผมโบกมือเรียกพี่แท๊กซี่นั้นเอง พี่ๆพนักงานแก้บนก็ดันนึกว่าผมเรียกแก เลยขี่รถออกมาหาซะงั้น ไม่ทันแล้วครับ ผมก้าวขึ้นรถพร้อมพร้อมกับโบกมือเป็นสัญญาณให้เค้ารู้ว่า”ไม่เอา” “ผมไม่ได้เรียก” “ผมเรียกแท็กซี่ต่างหาก” “เชิญพี่ๆสนทนาหัวข้อเรื่องโลกร้อนกันต่อไปเถอะครับ” แท๊กซี่คันนั้นมาเทียบข้างผมพอดี

...ไปจรัญฯ 71 ครับพี่... ผมบอกพร้อมกับปิดประตู
คราวนี้ไม่มี”หงึก”เหมือนทุกครั้ง แต่พี่เค้าก็หันมาด้วยสีหน้าปกติแล้วก็หันไปขับรถต่อ

...ในขณะที่นั่งรถผ่านวินแก้บน แน่นอนว่าผมถูกมองหน้าประนามว่างี่เง่าทั้งตระกูล... ซึ่งผมเองไม่ใส่ใจหรอกครับ ไม่เป็นไร คนที่รวยขนาดต้องมาทำงานแก้บนทำอะไรก็ไม่ผิดหรอกครับ

วันนี้พี่แท็กซี่เงียบมาก ปกติต้องชวนคุย ผมเลยแกล้งถามเรื่องเส้นทาง ปรากฎว่าคำตอบที่ผมที่ผมได้รับคือว่า พี่แกคงไปส่งไม่ได้หรอก พอดีบ้านแกอยู่แถวนี้ ภรรยากับลูกๆรอทานข้าวอยู่ แต่ไหนๆจะต้องออกจากหมู่บ้านอยู่แล้ว เห็นผมเรียกก็เลยจอดรับ(มิน่าล่ะ เงียบเชียว)
พอถึงหน้าหมู่บ้าน ผมก็ควักเงินให้พี่เค้าสามสิบห้าบาท(ตามมิเตอร์) แต่พี่เค้าไม่รับแถมยังบอกว่า

...ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมไปส่งที่ป้ายรถเมล์ทางโน้น ทางผ่านพอดี...

ว่าแล้วพี่เค้าก็ขับไปส่งที่ป้ายนั้นจริงๆ พร้อมกับขอโทษที่ไปส่งผมไม่ได้ แถมยังไม่รับเงินอีก
คือระยะทางจากบ้านไปป้ายรถเมล์อีกฝั่งมันไกลประมาณ 50 บาทตามมิเตอร์ครับ พี่เค้าสามารถเรียกเงินได้ตามกฎหมายเลยครับ แต่แกไม่เอาซักบาท แถมยังทอนให้เป็นรอยยิ้มและคำขอโทษอีกทั้งๆที่เค้าไม่ได้ผิดอะไรเลย อืม นาทีนั้นผมตัวฉ่ำ ฉ่ำเพราะน้ำใจของพี่เค้ามากเหลือเกินครับ สำหรับคนหาเช้ากินค่ำ วิ่งรถวันนึงจะได้ซักกี่บาท จ่ายค่าเช่า ค่าแก๊ส ค่าน้ำมันก็แทบจะไม่เหลือแล้ว ไหนจะต้องเอาไปเลี้ยงลูกเมีย แบ่งเก็บอีก แล้วยังจะมาแบ่งปันรายได้นั้นให้กับคนไม่รู้จักอย่างผมอีก ผมไม่รู้จะตอบแทนพี่แกยังไงก็เลยยกมือไหว้ขอบคุณ ซึ่งพี่เค้าก็ยิ้มและก็รับไหว้อย่างน่ารัก

วันนั้นผมกับแฟนเดินยิ้มทั้งวันด้วยความสดชื่น สดชื่นเพราะถูกเติมด้วยน้ำใจไมตรีที่ดีงาม

“รถวิ่งได้เพราะถูกเติมด้วยน้ำมันฉันใด คนเราก็ยิ้มและมีความสุขได้เพราะถูกเติมด้วยน้ำใจฉันนั้น”

จากวันนั้นมา มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกแปลกไป ผมรู้สึกว่าในบางครั้งการศึกษาหรือตำแหน่งหน้าที่ที่สูงศักดิ์ก็ไม่ได้ช่วยทำให้เราดูดีขึ้นเสมอ เราอาจมีคนเคารพนับถือยกมือไหว้ แต่นั่นมันก็เป็นเพียงการแสดงความสัมพันธ์ระหว่างสถานภาพทางสังคมเท่านั้นเอง จะมีซักกี่คนที่แสดงกิริยาเหล่านั้นด้วยความจริงใจและอยากทำจริงๆ ต่างกับการที่เราแค่มีน้ำใจให้เพื่อนมนุษย์ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กับคนรอบข้างโดยที่ไม่ต้องรอให้เค้าร้องขอ นี่ต่างหากที่ทำให้เรากลายเป็นคนที่น่าเคารพอย่างแท้จริง

...พี่แท๊กซี่ครับ วันนี้ตัวพี่อยู่สูงจริงๆครับ...

(ยิ้ม)
......

...ไปทางไหนดีครับน้อง.... เสียงพี่คนขับทักให้ผมตื่นจากภวังค์
....ไปทางสะพานพระรามแปด แล้วขึ้นทางยกระดับไปลงบางแคครับ ก่อนถึงโรงพยายาบาลธนบุรี 2 ครับพี่..... ตัวผมที่กำลังง่วงนอน ตอบไปด้วยเสียงงัวเงีย

...โอเค ได้เลย งั้นน้องนอนตามสบายเลยครับ เดี๋ยวใกล้ๆถึงแล้ว พี่ปลุก ต้องถามเส้นทางให้แน่ก่อน เดี๋ยวจะวิ่งเลย เดี๋ยวน้องต้องเสียตังค์เพิ่ม... พี่แท็กซี่พูดแกล้มเสียงหัวเราะ

...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...
ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...
ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...
ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...
ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...
ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...
ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...
ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...
ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...

...ผมยิ้มและพูดออกไปเพียงครั้งเดียว แต่ที่เหลือนั้นมันเป็นความรู้สึกที่ก้องอยู่ในใจครับ

31 มกราคม 2551

...น้ำที่กินไม่หมด...

วันนี้ผมมีเรื่องดีๆ มาเล่าให้ฟังครับ...

ปกติในช่วงเย็นของทุกๆวัน ตัวผมเองจะไปวิ่งจ๊อกกิ้งที่สวนลุมพินีกับแฟน จากนั้นก็กินข้าวเย็นด้วยกันแล้วผมก็จะกลับบ้าน โดยจะไปขึ้นรถไฟฟ้าที่มาบุญครองเพื่อไปต่อรถที่อนุสาวรีย์ กิจวัตรของผมในช่วงเย็นจะเป็นแบบนี้ซ้ำๆทุกวัน มีความสุขตามอัตภาพ สุขที่ได้ออกกำลัง สุขที่ได้กินข้าวเย็น กับคนที่เรารัก และก็สุขกับทุกอย่างที่มันดำเนินไปอย่างปกติ
...แต่วันนี้มันต่างออกไป
เหตุการณ์มันเกิดขึ้นหลังจากที่ผมล่ำลากับแฟนอย่างหวานชื่น
...เดินมาที่สถานีรถไฟฟ้าสนามกีฬาแห่งชาติ....
...แลกเหรียญ
...กดปุ่มเลือกสถานี และ...
...เริ่มหยอดเหรียญ....
แกร๊ก...(เสียงเหรียญแรกถูกกลืนกินโดยเครื่องขายตั๋ว)

....Excuse me….Kid…

บางประโยคที่มีสำเนียงแปร่งหูดังขึ้นพร้อมๆกับจังหวะที่ผมกำลังจะหยอดเหรียญที่สอง
...ผมหยุด...และหันกลับไปดู
สายตาของผมไปกระทบกับคู่สามี ภรรยาชาวต่างชาติคู่หนึ่ง ซึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นแหล่งที่มาของเสียง ประเมินจากภายนอกคาดว่าน่าจะมีอายุราวๆ 50 ปี กำลังยืนยิ้มแก้มปริอย่างใจดีอยู่ข้างหลังผม พร้อมๆกับยื่นแผ่นพลาสติกชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กมาให้
ซึ่งผมมาทราบหลังจากที่รับมันมาแล้ว ว่ามันคือ..

...ตั๋วรถไฟฟ้า...จำนวนหนึ่งใบ...

คุณลุงกับคุณป้าชาวต่างชาติบอกผมว่า...

...ไม่ต้องซื้อตั๋วหรอกพ่อหนุ่ม...เอาของลุงไปใช้เถอะ พร้อมกับยิ้มให้
ส่วนคุณป้าก็เสริมว่า...เราถึงที่พักแล้ว เราไม่ได้ใช้มันแล้วล่ะ พร้อมกับส่งรอยยิ้มมาสมทบ

ผมเอง ยืนงงอยู่เพราะสำเนียงที่ไม่คุ้นหู(ส่วนประโยคที่แปลมาให้ฟังนี้ คือความคิดของผมหลังจากที่นั่งทบทวนอยู่นานสองนาน)(ฮา)

หลังจากที่ได้สติแล้ว ผมจึงกล่าวขอบคุณคุณลุงและคุณป้าไปว่า...

Thank you very much..... Thank you very much.....

พร้อมกับรอยยิ้มกว้าง ซึ่งคุณลุงและคุณป้าก็ทำตัวเป็นเหมือนกระจกที่สะท้อนยิ้มนั้นกลับมาหาผม
เพียงแต่มันมากขึ้นเป็นสองเท่า เท่านั้นเอง แล้วท่านทั้งสองก็เดินจากไป ส่วนผมที่ไม่ค่อยมั่นใจในทักษะการแปลของตัวเองก็เดินเอาตั๋วไปให้คุณพนักงานแสนสวยช่วยเช็คให้อีกที ซึ่งเธอแจ้งกับผมด้วยน้ำเสียงสุภาพว่า

...ตั๋วนี้ใช้ได้ไม่จำกัดจำนวนรอบนะคะ แต่ว่าใช้ได้ถึงแค่เที่ยงคืนเท่านั้นค่ะ...

เธอยื่นตั๋วคืนผมพร้อมกับส่งยิ้มให้ ซึ่งผมก็ยิ้มตอบและก็สอดบัตรผ่านเครื่องกั้นเข้าไปข้างในชานชาลา ในตอนนั้นเองผมแอบเห็นรอยยิ้มของคุณพนักงานและก็พี่พนักงานรักษาความปลอดภัย มันเป็นรอยยิ้มที่น่ารัก ที่มักจะเห็นได้บนใบหน้าของผู้คนที่เห็นคนกำลังช่วยเหลือกัน ซึ่งผมก็ยิ้มให้คนทั้งคู่ ไม่นานนัก รถไฟก็มา ชั่วแวบแรกผมคิดว่า

..วันนี้โชคดีจัง ได้นั่งรถฟรี งั้นเราลองนั่งจากหมอชิต ไปอ่อนนุชซักเจ็ดสิบแปดรอบดีมั้ยนะ คุ้มดี ...

เดชะบุญที่ชาติที่แล้วผมคงทำดีมาบ้าง ผมจึงได้สติล้มเลิกความคิดแบบนั้น แล้วก็มุ่งหน้าไปอนุสาวรีย์ตามเส้นทางชีวิตปกติ

...สถานีต่อไป อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ...next station victory monument...

แค่ชั่วอึดใจผมก็ถึงจุดหมายปลายทาง ได้กลับบ้านซะที แต่จะทำยังไงกับตั๋วใบนี้ดี ทีแรกว่าจะเก็บไว้เป็นที่ระลึกว่าครั้งนึงเราเคยโชคดีแบบนี้ด้วย แต่คิดไปคิดมาแล้วรู้สึกว่า มันจะดีกว่ามั้ยถ้าผมเอาตั๋วใบนี้ไปทำประโยชน์ให้กับคนอื่นๆอีก น่าจะสมกับความตั้งใจที่คุณลุงกับคุณป้าได้ให้ไว้
ผมจึงไปยืนรอแล้วก็มอบตั๋วใบนี้ให้กับผู้โดยสารท่านอื่นอีกต่อหนึ่ง ซึ่งสิ่งที่ผมได้รับคือรอยยิ้มกว้างและคำขอบคุณ อย่างที่ผมเคยยิ้มและพูดให้เจ้าของบัตรมาก่อน
...นี่สินะความรู้สึกของสองคนนั้นตอนที่ยื่นบัตรให้ผม อืม..มันช่างน่าประทับใจเสียจริง


....ผมนั่งรถกลับบ้าน พร้อมใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม...


... พลางนั่งคิดเปรียบเทียบไปว่า
...ถ้าเกิดบัตรรถไฟฟ้าในนี้เปรียบเสมือนน้ำเปล่าหนึ่งขวดที่คุณลุงกับคุณป้าซื้อมาแก้กระหาย และทั้งสองคนก็อิ่มแล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเก็บไว้ จะทิ้งซะก็ได้ ถือไปก็หนัก พอดีในตอนนั้นมีหมูอ้วนหิวโซอย่างผมเดินผ่านมาพอดี แทนที่จะทิ้งท่านคงคิดว่าให้ไอ้หมูตัวนี้กินแทนดีกว่า มันจะได้ไม่ต้องไปซื้อกิน(หมูที่ไหนซื้อของได้ด้วย?) ถึงแม้มันจะเหลือไม่เยอะแล้ว แต่หมูตัวเล็กๆก็น่าจะกินอิ่ม
หมูอย่างผมจึงได้อานิสงส์กินอิ่ม สบายใจ ไม่เสียตังค์(หมูมีตังค์ซะด้วย) แถมยังเหลือไปถึงเพื่อนกระรอกตัวน้อยที่เดินผ่านมาอีกด้วย ถึงจะเหลือไม่เยอะ แต่กระรอกตัวเล็กๆก็น่าจะกินอิ่ม และอาจจะเหลือเผื่อแผ่ไปถึงเพื่อนตัวน้อยอื่นๆที่อยู่ระหว่างทางอีกก็ได้ ประโยชน์อันมากมายที่เกิดจากน้ำเพียงแค่ขวดเดียว

...จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณลุงกับคุณป้าเลือกที่จะทิ้ง แทนที่จะเอามาให้หมูหิวอย่างผม(หมูก็เสียตังค์อ่ะดิ)(ฮา)

...จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหมูอย่างผมกินอิ่ม แล้วเอาน้ำที่เหลือมาสาดเล่นแทนโคลน
(นั่งรถเที่ยวหมอชิต-อ่อนนุชเจ็ดสิบแปดรอบ)

...กระรอกน้อยตัวนั้นก็คงหิวโซต่อไป
...ก็แค่นั้น

......แต่ถ้าเกิดว่าวันนี้คือวันสุดท้ายที่มันจะมีชีวิตโดยปราศจากน้ำล่ะ

สิ่งเหล่านี้จะไม่มีทางเกิดขึ้น เพียงแค่เรารู้จักที่จะแบ่งปันสิ่งที่เรายังเหลืออยู่ ภายหลังจากการเติมสิ่งนั้นให้ตัวเองจนเต็มแล้ว ให้กับผู้อื่นบ้าง แทนที่มันจะกลายเป็นขยะที่ไร้ค่าไร้ความหมาย

... ใครจะรู้ว่าสิ่งเล็กน้อยที่”ไร้ค่า”สำหรับเรา อาจจะเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ที่แสน”ล้ำค่า”สำหรับคนอื่นก็เป็นได้

จากเศษน้ำที่เหลือใช้...กลายเป็นน้ำวิเศษที่ช่วยต่อชีวิตให้ผู้อื่นได้อย่างไม่รู้จบสิ้น...เพียงแค่ใช้มันอย่างรู้ค่า

หรือนี่คือสิ่งที่เรียกว่า....

....”น้ำใจ”....

10 มกราคม 2551

...ทำไม...

ทำไมว๊า...
ขอเวลาแป๊บนึงครับ
รบกวนท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งพูดหรือถามอะไรตอนนี้
...เพราะอะไรน่ะเหรอครับ

...ก็เพราะว่าผมกำลังดื่มด่ำน่ะสิ
โอ๊ววว...
ดูหนั่นเนื้อแน่นชิ้นนั้นสิ หุ้มด้วยแป้งสีเหลืองทองกรอบกรุบ เหมือนจะซ่อนความนุ่มชุ่มลิ้นภายใน ไม่ให้ทะลักออกมา...เจ้าผักสดสีเขียวเข้มกับมะเขือเทศสุกแดงปลั่งชิ้นนั้นอีก...มันคงจะปล่อยรสเปรี้ยวหวานออกมา ช่วยละลายความร้อนของเนื้อขาวกรุ่นให้อุ่นพอดีลิ้น แถมยังมีซอสรสเยี่ยมที่ช่วยเพิ่มรสชาติให้สดชื่นในทุกคำที่กลืนกิน....
โอ๊ววว...ช่างแสนสุขอะไรเช่นนี้
...ว่าแล้วก็ไปเข้าแถวซื้อดีกว่า
เอ๊ะ!!!
(เสียงอวัยวะบางอย่างของตา ดันไปสะดุดกับอะไรบางอยางที่ไม่เรียบ)
“ภาพนี้ทำขึ้นเพื่อใช้ในการโฆษณาเท่านั้น”
เอ๊ะ!!!
(แต่คราวนี้เป็น..เอ๊ะ!!!..ที่ไม่มีเสียง)
....
(เสียงไฟค่อยๆหม่นลง สวนทางกับเงินในกระเป๋าของบางคนที่กำลังตุงขึ้น)

...
“...ทำงี๊แม่งต่อยกันดีกว่าว่ะ” ผมบ่นกับเพื่อน ที่กำลังงงว่าผมหัวเสียเรื่องอะไร


“...อะไรกันนักหนาวะ” เพื่อนผมส่งเสียงย้อนกลับมากระทบหู
“...ก็ไอ้ประโยคเฮงซวยนี่ดิ” ผมพูด พลางชี้มือไปที่ประโยคดังกล่าว

ประโยคนั้นคือประโยคที่ประกอบขึ้นด้วยพยัญชนะและสระในภาษาไทยที่มีขนาดเท่าไข่ของแบคทีเรียชนิดที่อาศัยอยู่บนขนตาของม้าน้ำพันธ์แคระ
ประโยคที่แอบแฝงอยู่ในเงามืดของภาพอาหารที่น่ากินไปทุกส่วนสัด ...
...อาหารที่น่ากินจนน้ำลายทนไม่ไหว ต้องออกมาไหลเล่นบนปลายลิ้น
ประโยคที่เหมือนเป็นจุดหักมุมของเรื่องราวหวานซึ๊ง ที่พระเอกกำลังตระกองกอดนางเอกจากข้างหลังบนหัวเรือ ทุกอย่างช่างแสนจะโรแมนติก... ก่อนที่พระเอกจะถีบนางเอกตกเรือ!!!
แล้วตะโกนด่าว่า....
“...อีบ้า!!!กูชอบผู้ชายโว๊ยยยย.....ชะนี!!!!”
หลายคนอาจจะชอบ
แต่ผมคนนึงล่ะ...ที่ไม่...
“...มึงก็คิดมาก แดกๆไปเถอะ...” เพื่อนผมให้ความเห็น
“...ก็กูไม่เข้าใจว่ามันจะพิมพ์มาทำไม” ผมแสดงจุดยืน
“...เค้าเรียกว่าเทคนิคการโฆษณาโว๊ยยยย”.....”โง่จริง” เพื่อนผมให้ข้อมูลเพิ่ม

(อืมมม...ผมอาจจะโง่จริงๆ ที่ดันคิดว่าตัวเองถูกหลอก)


“...ถ้าแม่งจริงใจ ทำไมต้องเขียนวะ”
“...งี๊ก็แสดงว่า...ซื้อจริงแม่งต้องไม่ได้อย่างในรูปดิ” “แล้วก็ยั่วซะอยากเลย”
“....พอเอาเข้าจริง ก็แค่คนหน้าเหมือน” ผมคิดแบบนั้น
ผั่วะ!!!!!
(เสียงอวัยวะบางอย่างกระทบกัน)
“...แดกๆ เดี๋ยวเย็นซะก่อน”
(อืมม บางครั้งการตบหัวก็แสดงได้ถึงความห่วงใย)
....
(แน่นอนว่าไม่ใช่ครั้งนี้)

“...เออๆ...กูรู้แล้ว แต่มึงดูดิ หน้าตามันยังกะสภาโจ๊กเลย...ฮึ อาจดูคล้ายแต่ยังไงมันก็ไม่ใช่ เชอะ!!!”
“เออๆ...กินแล้วๆ ไม่ต้องย้ำ”
ผมเอาอาหารเข้าปาก
“...เฮ้ย อร่อยนี่หว่า...”


“...ก็กูบอกแล้ว ว่ามึงคิดมากไป” เพื่อนสนับสนุนความคิดเดิม
“...ฮึ ก็แน่ล่ะ มันแสดงรสชาติให้เห็นด้วยตาไม่ได้นี่หว่า จะรู้ได้ไงว่ารสชาติจะเหมือนในรูป โธ่เอ๊ยยยย”
ผั่วะ!!!!!
(เสียงอวัยวะบางอย่างกระทบกันอีกครั้ง)

ผมรู้สึกว่าการคิดมากนั้น นอกจากจะเครียดแล้ว บางทีก็เจ็บตัว

ในบรรดาประสาทสัมผัสทั้งห้าของคนเรา “ตา” และ “การมองเห็น” ถือเป็นส่วนที่ล่อแหลมต่อการถูกหลอกมากที่สุด ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะว่า เมื่อตาเห็น ก็จะส่งข้อมูลต่อไปเป็นความรู้สึก เป็นความคิด เป็นจินตนาการ ไปยังจิตใจให้คาดหวัง เช่น....
...สาวสวยคนนั้น หน้าตาก็ดี แต่งตัวก็ภูมิฐาน พูดจาก็แสนจะไพเราะ ซอกตูดของเธอคงหอมน่าดู
ถึงแม้ว่าเอาเข้าจริงอาจเหม็นจนอ๊วกแตกก็ได้
...แต่คุณก็คิดไปแล้ว

ด้วยเหตุนี้มันจึงดูไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่ ซึ่งมันแตกต่างจากระบบประสาทอื่นๆที่มักจะประมวลผลที่ตรงกับความจริงเสมอ เช่น...
รสเค็มก็คือรสเค็ม ไม่ว่ามันจะเป็นน้ำอะไร ถ้ามันเค็มก็คือ มันเค็ม
หรือ เสียงที่เพราะเสนาะหู ไม่ว่าจะเล่นจากอุปกรณ์อะไรมันก็เพราะ
หรือ สัมผัสอันแสนนุ่มนวลก็ยังคงนุ่มนวลไม่ว่ามันจะเป็นสัมผัสของใคร

แต่ที่”ตา””เห็น”อาจจะไม่เป็นอย่างที่เห็นก็ได้
ดังนั้น”ตา”จึงบอบบางที่สุดในบรรดาเพื่อนๆ ซึ่งคนที่ได้รับผลกระทบจากความอ่อนต่อโลกของดวงตาก็ไม่ใช่ใคร ก็คือ มนุษย์ปุถุชนอย่างเราๆนี่แหละ ที่มักถูกมนุษย์ที่ฉลาดและเลวกว่า เอาจุดด้อยข้อนี้มาโกยเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง ยกตัวอย่างกรณีนี้เป็นต้น ไม่ว่ายังไงก็ต้องทำภาพให้มันหน้ากินเข้าไว้
ทั้งนี้ก็เพราะ ภาพที่น่ากินจะทำให้อยากกิน...
...พออยากกินแล้วก็จะซื้อ
... พอซื้อแล้ว บางคนก็ได้เงินเข้ากระเป๋าสบายใจเฉิบ
...สะใจกันไปเลย

เวลาที่คนเราหิว หรืออยากได้อะไรมากๆ มักจะลืมเปรียบเทียบสิ่งที่ได้รับกับสิ่งที่ควรจะได้รับเสมอ
(ผมคิดเองแหละ ไม่ต้องไปค้นว่าใครคิด)

หรืออีกตัวอย่างนึง ที่พ่อค้าแม่ค้าชอบเขียนราคาให้ดูถูกลง เช่น ชอบเขียนคำว่า”ครึ่งกิโล”ตัวเล็กๆไว้มุมข้างล่าง แต่เขียนราคาให้ตัวใหญ่กว่าซักร้อยเท่า แล้วก็ใช้ล่อให้คนโง่เข้ามาติดกับ....(ซึ่งบ่อยครั้งที่เป็นผม...พอดีว่าผมโง่)
กว่าจะรู้ตัวก็สายเสียแล้ว...
...ซื้อไปก็แล้วกัน กลัวเสียหน้า...
อุตส่าห์เดินมาถึงนี่แล้ว...ไม่ได้กินทุกวันน่า....
และก็อีกหลายๆเหตุผล ที่เรามักจะสรรหามาแก้ต่างให้กับความโง่ของตัวเอง

และด้วยช่วงโหว่ตรงนี้แหละที่ทำให้กลุ่มคนที่ใช่อุบายเหล่านี้ มีกินมีใช้อย่างไม่ขาดมือ
...ก็แค่นั่งรอเหยื่อมาติดกับ

อันที่จริงจะว่าไปแล้ว
หน้าตาของอาหารที่ได้มาก็ไม่ได้เลวร้าย
แล้วมีเหตุผลอะไรที่จะต้องไปเสริมเติมแต่งให้เกินจริง

สำหรับคนที่นึกไม่ออก
ลองนึกถึงเวลาไปซื้อแผ่นโป๊ ที่หน้าปกสวยชวนฝันจนกระสันซ่าน
แต่พอได้เปิดดูจริงๆ ดันกลายเป็นคุณป้าของน้าเขยไปซะได้
....แค่คิดก็สยองแล้ว...
...ซวยฉิบ

จะดีกว่านี้มั้ย..
ถ้าเราจะคิดถึง”คนอื่น”ก่อน”ตัวเอง”ซะบ้าง
จะดีกว่านี้มั้ย...
ถ้ารูปที่โฆษณาดูสุดแสนจะธรรมดา
...แต่ของที่ได้รับกลับ...โอ้โห...สุดยอดไปเลย

เพราะในท้ายที่สุด...
คนที่”ได้”ก็คงไม่ใช่ใคร

“พวกเราทุกคนนี่แหละ”

...ถ้าคุณขอพรวิเศษได้หนึ่งข้อ...คุณจะขออะไร?

...ถ้าคุณขอพรวิเศษได้หนึ่งข้อ...คุณจะขออะไร?

ลองมาคิดกันดูเล่นๆนะครับว่า...
...ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้มันสามารถเกิดขึ้นได้จริง...คนเราจะใช้มันแบบไหนบ้าง

การดำรงชีวิตในโลกนี้ล้วนมีอุปสรรคต่างๆมากมาย ให้เราต้องคอยคิด คอยแก้ไขกันอยู่ตลอดเวลา..
...และแน่นอนว่า ในทุกทุกเรื่องนั้นมักจะบีบบังคับให้เราต้องตัดสินใจเลือกเส้นทางใด เส้นทางหนึ่งเสมอ...ย้ำ...ว่าต้องเลือกหนึ่งทางเสมอ
เป็นเรื่องธรรมดาที่ว่า..ในช่วงที่เราต้องตัดสินใจนั้น เรายังไม่พร้อมที่จะ"ตัดใจ"กับบางอย่าง........แต่เวลามันไม่เคยให้โอกาสเราขนาดนั้น

จึงมีบ่อยครั้งที่...เราต้องตัดสินใจ ทั้งๆที่ยังไม่พร้อม ...แต่มันต้องทำ

..และแน่นอนว่ามันนำมาซึ่งความเศร้าเสียใจ...อย่างเหลือเกิน

มนุษย์อย่างเราๆจึงหันเข้าหาที่พึ่งทางใจ ที่พอจะช่วยคลายความโศกเศร้านั้นได้...ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีวันเป็นจริงก็ตาม

...ใจคนนั้นช่างบอบบางนัก ในบางครั้งการที่ต้องยอมรับกับอะไรซักอย่างที่มันเจ็บปวด จึงเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก...

...แต่มันก็ต้องทำ...

ไม่มีมนุษย์คนไหนที่จะสามารถดำรงชีวิตอยู่ในโลกแห่งความฝันได้ตลอดเวลา


...ตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมาของผม
ดีบ้าง...ร้ายบ้าง...
...บ้างก็ตัดสินใจถูก...บ้างก็ตัดสินใจผิด...
แต่ผมไม่เคยกลับไปเสียใจกับมัน...ว่าตอนนั้นไม่น่าทำแบบนั้นเลย

เพราะมันคือความทุกข์ที่ไม่มีวันที่จะแก้ไขได้

คนเราไม่มีทางรู้ได้ว่าทำแบบไหนแล้วจะดีที่สุด...ไม่งั้นทั้งโลกนี้คงจะมีแต่คนที่ประสบความสำเร็จ
...ผมจึงเลือกที่จะทำวันนี้ให้ดีให้มากที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ซะมากกว่า ทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
...เวลามันไม่มีวันเดินกลับหลัง...ตราบใดที่ผมยังอยู่บนโลกใบนี้
เพื่อที่ว่า..ถ้าวันนึง ไม่ว่าผลของการตัดสินใจในครั้งนี้ของผมมันจะดีหรือร้ายยังไง...
ผมก็จะไม่มีวันเสียใจกับมัน...
...นั่นก็เพราะ"ผมทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ในขณะนั้นแล้ว"
และทุกๆสิ่งทุกอย่าง...ที่เกิดขึ้นหลังจากวันนั้นมาก็คือ สิ่งที่สำคัญที่สุด ที่ผมจะไม่มีวันเสียมันไปเพียงเพราะผมอยากจะแก้ไขอดีต

ด้วยเหตุนี้..ในโลกของผม จึงไม่มีพรวิเศษ...

...พรวิเศษที่จะมาทำลายทุกสิ่งหลังจากวันนั้น ให้กลายเป็นเพียงความว่างเปล่าที่ไร้ความหมาย

...ผมไม่เอา


...แต่ถ้ามันมีจริง...สิ่งเดียวที่ผมจะขอ...

...ผมจะขอให้ทุกอย่างที่ดีในวันนี้ ยังคงเป็นแบบนี้ตลอดไป

เพราะสิ่งที่สำคัญสำหรับผมที่สุดในตอนนี้ คือ

...คนที่อยู่กับผม...คนที่กินข้าวด้วยกัน...คนที่เที่ยวด้วยกัน...คนที่ร้องไห้ด้วยกัน...คนที่ผมเพิ่งจะแยกจากเค้ามาแค่ไม่กี่นาที...

เพราะเค้าคือ...สิ่งที่มีอยู่จริง





และเป็นคนที่สำคัญที่สุดในวันนี้


ปล. ถ้าขอพรได้อีกข้อ ผมอยากวอนขอให้พรวิเศษไม่มีจริง เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้ผมต้องเสียเค้าไป

"ทุกสิ่งบนโลกนี้....ล้วนแล้วแต่มีเหตุและผล"

"ทุกสิ่งบนโลกนี้....ล้วนแล้วแต่มีเหตุและผล"

....เมื่อสิ่งหนึ่งเกิด.....
.....อีกสิ่งหนึ่งก็เกิด.....
.......อีกสิ่งหนึ่งๆๆๆๆๆๆๆ ก็เกิด.....
......ส่งต่อกันไปเป็นทอดๆ..........อย่างไม่มีวันจบสิ้น.....

หรือ...อาจเรียกได้ว่า.....

....นี่คือสิ่งที่เรียกว่า"กรรม"

เพราะเมื่อเราทำอะไร.......ก็จะส่งผล.......กับคนอื่น

และเมื่อคนอื่นทำอะไร.....ก็จะส่งผล.......กับคนอื่นอีกไม่รู้จบ

และแน่นอนว่า....

....มันจะส่งผลกลับมาหา"ตัวเรา"ในที่สุด

ดังนั้น ก่อนที่เราจะทำอะไร...

ได้โปรดกรุณาคิดก่อนว่า.....อะไรจะเกิดกับคนอื่น...และอะไรจะเกิดกับเรา

ถ้ารับได้ก็ทำไป......

แต่ถ้ารับไม่ได้......ก็อย่าทำ

สำหรับบางคนแล้ว....อาจไม่เคยรู้สึกว่า...ตัวเองได้ทำอะไรลงไป....ให้คนอื่นเดือดร้อนบ้าง เสียใจบ้าง

คิดแค่เพียงผลที่ย้อนกลับมา(ผลจากสิ่งที่ตัวเองทำ)....และคิดโทษคนอื่นว่าเค้าผิด...

...อืมมม ผมอยากวอนขอนะครับ....

...อย่าสร้าง"กรรม"อีกเลย





ปล.สำหรับคนอื่นๆที่ได้รับผลกระทบนะคะ วิธีแก้มีวิธีเดียว ...........คือแก้ที่ต้นสาย

ถึงแม้ดูจะเป็นทางเลือกที่ไร้ค่า....แต่ต้องทำใจนะครับ...ว่ามันมีทางเดียว

เพราะงั้น....กัดฟัน แล้วลุยเล๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

ถึงเวลาปลดแอกซะที!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

"วันชื่น คืนสุข"

"วันชื่น คืนสุข"

...เหมือนนกที่ถูกปล่อยออกจากกรง...

...เหมือนน้องหมาที่ได้วิ่งอย่างร่าเริงในสนามกว้าง...

...เหมือนแมงกระชอนที่คุ้ยดินไปเรื่อยจนในที่สุดก็เจอแสงสว่าง...

...เหมือนคนหลงทางที่ในที่สุดก็เจอทางออก...

...เหมือนคนที่รู้แล้วว่างานที่ทำคืองานที่ชอบ...

...เหมือนคนที่เจอแดดร้อนมาทั้งวัน ได้อาบน้ำให้ชื่นใจซะที...

...เหมือนคนที่เดินในทะเลทรายแล้วเจอโอเอซิส...

...เหมือนแมวที่หิวโซเจอวิสกี้(อาหารแมว)ชามใหญ่...

...เหมือนคนที่ปวดขี้มากๆๆจนขนลุกซ้ำแล้วซ้ำเล่า....แต่ในที่สุดก็ได้เจอห้องน้ำที่แสนสะอาด...

...กลิ่นหอม...และน่านั่งเป็นที่สุด...ในบรรยากาศสบายๆ...

....แล้วปลดปล่อยมันเสียที....

...ความรู้สึกดีดี ที่มักเกิดขึ้นเสมอ...

...เฮ้อออออออออ....."โล่งจัง"............


(ยิ้มกว้างอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หัวใจอุ่น อิ่มไปจนถึงลำไส้เล็ก อื้มมมมม)

(ยิ้ม) :)



ปล....................นะคะ
.......................นะคะ
.......................นะคะ



...บางทีบางถ้อยคำที่เอ่ยซ้ำจนเป็นนิสัย...ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพิมพ์ให้ใครเห็น...
...เพราะเรารู้ว่า...ข้อความนั้น มันจะแจ่มชัดในใจของผู้ฟังคนนั้นเสมอ


.......................นะคะ

...คู่แท้...

....ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ล้วนมีคู่กันทั้งนั้น....

....ไม่เว้นแม้แต่เราๆท่านๆ....

....เคยแปลกใจกันบ้างมั้ย....ว่า....

..บนโลกนี้แบ่งทุกอย่างออกเป็นหลายฝ่ายด้วยกฏเกณฑ์ของความสวยงาม....

....สิ่งที่สวยงามกว่า มักจะถูกยกขึ้นไว้เป็นอันดับต้นๆของการได้รับโอกาสที่ดีกว่าและคู่ที่ดีกว่าเสมอ....

....ส่วนสิ่งที่อ่อนด้อยกว่า ก็ต้องรอต่อไป.....ไร้คู่.......

....ฟังดูน่าเศร้า....

....แต่โลกเราไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้น....

....อาจจะช้า....แต่ใช่ว่าไม่มี.....

....ผมเชื่อว่าทุกคน มีคู่ที่เหมาะสมกับคุณอยู่ในที่ใดที่หนึ่งเสมอ....

....อยู่ที่คุณต้องมองให้เห็นให้ได้....

....เพราะในบางครั้ง โอกาสก็มาเพียงแว่วๆๆ....

....แค่การปล่อยใจเพียงเสี้ยวนาที โอกาสเดียวของคุณอาจหลุดลอยไป อย่างไม่มีวันหวนกลับ....

....เพราะงั้น....ลองมาตั้งใจดูซักครั้งนะครับ.....

....ปล่อยใจ....ให้เปิดรับสัมผัสแห่งรักแท้....

....ที่คู่ของคุณสื่อสารมากับสายลม....

....ถ้าเจอเมื่อไหร่ จับไว้ให้แน่น....

....แล้วมีความสุขไปกับชีวิตของคุณที่กำลังถูกเติมเต็มนะครับ....

เอ้า....ยิ้มกันได้แล้ววววว

....(ยิ้ม)....

วิ่ง...ยิ้ม...รัก...

"การวิ่ง" ทำให้สุขภาพแข็งแรง............

............งั้นเรามา"วิ่ง"กันทุกวัน เนอะ เนอะ....(ยิ้ม)

"การยิ้ม" ทำให้อารมณ์แข็งแรง...........

............งั้นเรามา"ยิ้ม"กันทุกวัน เนอะ เนอะ....(ยิ้มกว้าง)

"การรัก" ทำให้หัวใจแข็งแรง..............

............งั้นเรามา"รัก"กันทุกวัน เนอะ เนอะ....(ยิ้มจนตาหยี..เหอๆๆ)


...แค่ทำสามอย่างนี้ได้ทุกวัน...


...ชีวิตนี้ก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้วคร้าบบบบบบ...


...(ยิ้ม)...



ปล.เหอๆๆ.................(ยิ้ม)

ว่าด้วยเรื่องของ..."การกระทำ และ ความรู้สึก"

....เพื่อนๆเคยสงสัยกันมั้ยครับว่า....
"การกระทำ"กับ"ความรู้สึก"
....อันไหนเกิดก่อนกัน....

ลองคิดกันดูเล่นๆนะครับ...
ว่าเราอารมณ์ดีเพราะเรายิ้ม...
...หรือว่าเพราะเรายิ้ม...เราก็เลยอารมณ์ดี...

...เราเศร้าเพราะเราร้องไห้...
...หรือว่าเพราะเราร้องไห้...เราก็เลยเศร้า...

อืมมม....ท่าจะว่ากันตามทฤษฎีแล้ว
ความรู้สึกน่าจะเกิดก่อนนะครับ...เนื่องจากว่า...
เวลาที่คนเราถูกกระตุ้นด้วยสิ่งเร้า...ร่างกายจะส่งสัญญาณไปที่สมอง
แล้วสมองก็จะวิเคราะห์เป็นความรู้สึกส่งออกมา ซึ่งจะมีผลให้ร่างกายแสดงอาการตอบสนองกับความรู้สึกนั้นๆ
แตกต่างกันไปตามแต่สิ่งที่เข้ามากระทบ....

สิ่งเร้า------>สมอง------->ความรู้สึก------->การแสดงออก

จะเห็นว่า...ความรู้สึกจะเกิดก่อนการแสดงออก...
แต่ในบางครั้ง...
...ด้วยความที่กระบวนการเหล่านี้มันเกิดขึ้นซ้ำๆ จนสมองเกิดการจดจำลำดับที่แน่นอนได้แล้ว...
...เราจึงสามารถทำในสิ่งที่กลับกันได้
...นั่นหมายถึงว่า...
...เราสามารถสร้างอารมณ์ดีได้ถ้าเรายิ้ม...
...หรือแม้แต่...เราสามารถเศร้าได้...เพียงแค่เราร้องไห้...
...แนวความคิดนี้ ได้มีนักจิตวิทยาหลายท่านยืนยันว่าได้ผล...
...ผมเองก็ลองมากับตัวเองแล้ว...ก็รู้สึกว่ามันได้ผลเหมือนกันครับ...
...ใหม่ๆอาจจะดูขัดๆหน่อย...เหมือนคนบ้า...ที่ร้องไห้อยู่ดีๆก็หัวเราะขึ้นมาซะงั้น
...แต่ในที่สุดเราก็จะอารมณ์ดีครับ...ผมรับรอง.....ลองกันดูนะครับ(สนุกดี)


....แค่นี้แหละครับ....
...ไปแร้ววววววววว

...ช่วงเวลาในอุดมคติ...

....เคยได้ยินประโยคที่ว่า....
...."ช่วงเวลาในอุดมคติ"....
....กันมั้ยครับ....

ผมเชื่อว่า..หลายคนน่าจะเพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก
ซึ่งก็ไม่แปลกหรอกครับที่จะเป็นอย่างนั้น
เพราะว่าผมเพิ่งคิดมันขึ้นมาเมื่อครู่นี้เอง...

เมื่อสองวันที่ผ่านมา...
ผมได้มีโอกาสไปพักผ่อนสมองครั้งแรก ในรอบหลายๆปี
เป็นการพักผ่อนที่ไม่มีงานอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง...

...หัวโล่ง...ใจโล่ง...ตัวเบา...

เหมือนกับว่าความเครียดมันหนีไปพักร้อน หลังจากที่ทำงานหนักมาทั้งปี

การเที่ยวแบบของผม ไม่มีอะไรยุ่งยาก ไม่มีแผนการเดินทาง ไม่มีตารางเวลาในการไปที่ต่างๆ
ผมแค่ไปอยู่นิ่งๆ....นิ่งๆ.....และก็นิ่งๆ
...อยากไปไหนก็ไป...อยากทำอะไรก็ทำ...ถ้าเกิดขี้เกียจขึ้นมา ก็ไม่ไปเอาดื้อๆ...ใช้ชีวิตอย่างที่อยากจะใช้...
...อาจฟังดูไร้สาระ และน่าเบื่อหน่ายสำหรับบางคน
...แต่สำหรับผมแล้ว...มันมีรสชาติของ"อิสระ"อยู่อย่างเต็มเปี่ยม
...แม้ว่าจะเป็นช่วงสั้นๆ...
...แต่เวลาที่เราร้อนจากไอแดดที่แผดเผา...ขอเพียงแค่ได้เข้าไปอยู่ในร้านขายของที่ติดแอร์ซักพัก
...ชีวิตก็สดชื่นขึ้นเป็นกองไม่ใช่หรือ...

..การไปพักผ่อนครั้งนี้...ให้อะไรที่ดีๆหลายอย่าง...
...ได้พูดในเรื่องที่ไม่เคยพูดกับใครมาก่อน(โล่งเลย...ตัวกลวงโบ๋)
...ได้รู้ในเรื่องที่ไม่เคยรู้เยอะมาก(ทำให้หลายเรื่องที่เคยแคลงใจชัดเจนขึ้น)
...ได้ตลกกับบางเหตุการณ์ที่ตื่นเต้น...ยังกะในหนังเลย(เหอๆๆๆๆ)(แหม่แหม...คุณพี่ใส่แว่นล่ะก็..ทำไปได้)
...ได้เสียใจและเป็นทุกข์ทรมานกับหลายเรื่อง(บวมและใสกันเลยทีเดียว)(ไม่ต้องหัวเราะ)
...และก็ได้ดีใจและมีความสุขมากๆกับหลายๆเรื่องเช่นกัน...
...ซึ่งดูเหมือนน้ำหนักมันจะเทลาดมาทางข้อสุดท้ายซะมาก...ถึงมากที่สุด

...บางครั้ง...
...การที่เราได้รู้อะไรเยอะขึ้น...แม้มันอาจต้องแลกมากับ...(อืมมมม)...คางวัวในความฝัน...
...แต่มันก็ช่วยเติมให้...ภาพในความคิดชัดเจนขึ้น...
...ซึ่งพอมันชัดเจนแล้ว..อะไรก็ง่ายขึ้น...เห็นขอบเขตว่าทำได้แค่ไหน....
...ไม่ต้องไปต่อเติมเองในจินตนาการ..ที่อาจจะคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงเยอะ...

...ถือเป็นการพักที่ดีที่สุดตั้งแต่ก้าวย่างเข้าสู่ทางสายใหม่

...ทุกสิ่งทุกอย่างที่ดีๆ สะท้อนและฝังลึกไว้ในกระดาษผิวมันที่จับต้องได้
บางส่วนฝังอยู่ในเศษเหล็กและกระแสไฟฟ้าในกล่องสี่เหลี่ยม
ไว้เพื่อเป็นบทย่อให้ระลึกถึง ยามที่กำลังใจเกิดภาวะวิกฤต
ถึงกระนั้นเรื่องราวทั้งหมดนั้นก็ยังได้ถูกบันทึกไว้ในจุดที่ไม่มีวันลบออกไปจากชีวิตของคนคนนึงได้อีกด้วย
เพื่อจะได้แน่ใจว่า..สิ่งดีๆเหล่านั้นมันจะคงอยู่ตลอดกาลและไม่มีวันหายไปไหน....

..."ช่วงเวลาในอุดมคติ"...
....คือ..ช่วงเวลาที่....
...คนเรา...มีอะไรก็พูดกันตรงๆ...บอกกันตรงๆ...แสดงออกอย่างไร้มารยา...ไม่มีหน้ากาก...ไม่มีเสแสร้ง...ไม่ทำเพื่อคาดหวังผล...
แต่ทำเพราะอยากทำ...พูดเพราะอยากพูด...แสดงออกเพราะอยากแสดงออก....ด้วยความรู้สึกจากก้นบึ้งของหัวใจ
...โดยอยู่บนพื้นฐานของการไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน...ว่า...
...เราไม่มีเจตนาที่จะทำร้ายกัน...เราเพียงแสดงออกในสิ่งที่เราเป็นและรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา...
...ดีหรือไม่ดี ก็สะสางและปรับความเข้าใจกันเดี๋ยวนั้น ไม่ต้องเก็บมันไปให้กลายเป็นหนามแหลมคอยทิ่มแทงใจ...
..มันน่าจะทำให้คนเรา ใช้ชีวิตง่ายขึ้น ยอมรับความจริงได้อย่างแข็งแกร่งขึ้นโดยไม่ไปจมอยู่กับความหวัง ที่ไร้สิ้นแม้แต่เงา ที่เราสร้างขึ้นมาเพื่อปลอบใจตัวเอง
(ทั้งที่จริงมันเป็นเพียงแค่การยืดเวลาให้ความเจ็บปวดมันสะสมเยอะขึ้นจนในตอนท้าย..มันก็จะวนกลับมาทำร้ายเราเองอย่างหนักหน่วงจนไม่อาจต้านทานได้อีกต่อไป)
และเมื่อเรายอมรับความจริงได้ง่ายขึ้นแล้ว...ไม่หลบตัวเองเข้าไปหาความฝันที่ไร้ค่าแล้ว...
ผมเชื่อว่า...ในทุกๆวันมันจะดีขึ้น....คุณค่าในตัวเราจะมากขึ้น...เราจะรักตัวเองมากขึ้น...
และเมื่อสามารถเป็นได้อย่างนี้แล้ว....
...ก็จะไม่มีใครทำอะไรเราได้อีกต่อไป



..."ช่วงเวลาในอุดมคติ"...


...ผมเพิ่งจะผ่านมันมาครับ...

จะบอกว่ารักทำไม?

เมื่อคืน...ผมโกรธครับ....โกรธมาก....

ที่มีใครคนหนึ่ง..มาทำให้น้องผมต้องร้องไห้....

ผมโกรธมากจริงๆๆๆ.....โกรธจนพล่ามไม่หยุด...

ไปๆมาๆ..ตีสี่ซะงั้น......กำจริงๆ........เหอๆๆๆๆ


ทำไมนะ....คนเราถึงไม่คิดถึงใจคนอื่นบ้าง

ยิ่งคนที่เป็นแฟนกันด้วยแล้วล่ะก็.... ยิ่งต้องคิดให้มากกว่าเดิมเป็นร้อยๆเท่า

เพราะทุกการกระทำของเรา....จะมีใจของอีกคนเข้ามาร่วมรู้สึกด้วย

ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องคิดให้มาก....ว่าทำไปแล้ว...อีกคนจะรู้สึกยังไง

ไม่ใช่เอะอะก็ พูดแต่ประโยคสุดฮิต...ผมเป็นคนแบบนี้...นิสัยผมเป็นแบบนี้...

ถ้าคิดแต่แบบนี้...........แล้วจะมาเป็นแฟนกันทำไม

...................อยู่คนเดียวจะไม่สบายใจกว่าเหรอ?

ก็ในเมื่อมันเป็นเรื่องธรรมดา...

ที่เวลาเป็นแฟนกัน...จะต้องเจอปัญหามากมาย....
นั่นก็เพราะ...

คุณจะต้องเอาเรื่องของอีกคนมาคิดด้วย...เอาความรู้สึกของเค้ามาคิดด้วย...อยู่ตลอดเวลา

การที่เราบอกว่าเรา"รัก"เค้านั้น....มีความหมายมากแค่ไหน

มันไม่ได้หมายความว่า...คุณจะ"พยายาม"อย่างที่สุด เพื่อให้คนที่คุณ"รัก"มีความสุขหรอกหรือ

คุณจะทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ใจของคนที่คุณ"รัก"บอบช้ำหรอกหรือ

....ถ้าไม่ใช่.....คุณยังจะเรียกมันว่า"รัก"ได้อีกหรือ

สำหรับผมแล้ว.....อย่างที่เคยบอกไป....

คำว่า"รัก"ไม่ใช่"คำสาป" ที่จะผูกมัดคนที่พูดให้ไปใหนไม่ได้....

แต่มันเป็นเพียงการแสดงเจตนารมณ์ที่ดีว่า....ผมรู้สึกดีกับคุณมากนะ...อยากให้คุณมาร่วมใช้ชีวิตและเดินไปพร้อมๆกันกับผมนะ

แน่นอนว่า...จะไปกันรอดมั้ย.....ไม่มีใครรู้หรอก.....

ยิ่งนานก็ยิ่งรู้จักกันมากขึ้น....เจอเรื่องที่ไม่เคยรู้มากขึ้น....

ถ้าเป็นเรื่องที่ดีเข้ากันได้ ก็ดีไป....แต่ถ้าเป็นเรื่องที่อาจไม่ดีกับอีกฝ่ายและต้องมีการปรับตัวเข้ามาเกี่ยวข้องล่ะ

ตอนนี้แหละ...คำว่า"รัก"ที่คุณชอบย้ำนักหนา...มันจะย้อนกลับมาพิสูจน์...ว่า....

คุณจะยอมเพื่อคนที่คุณ"รัก"ได้หรือเปล่า

จะยอมเปลี่ยน..ยอมปรับ...ได้หรือเปล่า

และถ้าไม่ได้....คุณจะ"พยายาม"ที่จะทำมันได้ซักแค่ไหน...ก่อนที่จะบอกว่า"ผมทำไม่ได้หรอก...มันไม่ใช่ตัวผม"

เรื่องเหล่านี้แหละ...มันคือตัววัดปริมาณความรักที่คุณมีให้คนอื่น

ที่ผมกล้าพูด...ก็เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา...ผมไม่เคยลังเลที่จะลองปรับในสิ่งที่คนรักผมขอ...

ผมเชื่อว่า...ถ้าคุณพยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว...ไม่ว่ามันจะดีหรือไม่ดี....

เค้าจะเข้าใจ....เพราะเค้าเห็นว่าคุณพยายามอย่างเต็มความสามารถแล้ว...

อย่าลืมว่าเค้าก็"รัก"คุณเหมือนกัน....ไม่มีใครอยากเห็นคนที่ตัวเอง"รัก"ต้องทุกข์ทรมานหรอก

ในที่สุด...ถ้ามันไปด้วยกันไม่ได้จริงๆ....ก็ต้องยอมเปลี่ยนสถานะ...ไปอยู่ในรูปแบบอื่น ที่จะยังทำให้รู้สึกดีๆต่อกันเหมือนเดิม

นี่สิ...เค้าถึงจะเรียกว่า"รัก"กันจริงๆ

รักโดยไม่คาดหวังว่า...ทำไมไม่เข้าใจ.....ทำไมไม่....ทำไม........

..........มีแต่คำว่าทำไมเต็มไปหมด

บางอย่างมันไม่ต้องมีเหตุผลหรอก...ไม่ว่ามันจะดูยึดติดกับคำพูด..ยึดติดกับการกระทำ...หรือยึดติดกับอะไรก็ตามที่คุณจะยกมาอ้าง....

ยึดติดแล้วมันยังไง....ในเมื่อคนที่คุณบอกว่า"รัก"เค้า กำลังต้องการมากๆ

ในเวลานี้...คุณจะคิดถึงตัวเองหรือคิดถึงใคร...

ถ้าเวลาที่ทะเลาะกัน...ถ้าคุณไม่ผิด คุณก็จะไม่ง้อหรือไง...

คุณอยากเอาชนะเหรอ...ชนะแฟนตัวเองแล้วมันได้อะไรวะ....มันจะช่วยให้คุณดูดีขึ้นมาใช่มั้ย....

ผมเป็นคนที่เกลียดการกระทำลักษณะทวงบุญคุณเอามากๆๆๆๆๆ

ยิ่งถ้าทำกับแฟนตัวเองด้วยแล้ว....โคตรเกลียดเลย

ถ้าทุกอย่างมันต้องทำเท่ากันไปตลอด....เสมอภาคกันไปตลอด...

มันจะมีช่วงเวลาไหนที่ทำให้เรารู้สึกได้ถึงความรักที่มีต่อกันล่ะ....

....ตัวผมเอง...ถึงแม้จะคาดหวังอยู่บ้าง...แต่ผมแค่ต้องการเห็นเพียงความพยายามเท่านั้นเอง

เพราะนั่นมันเป็นสิ่งที่จะบอกกับผมว่า...คนที่ผมรักเค้าเอาใจใส่กับความรู้สึกของผมมากๆเหมือนกัน

ส่วนเค้าจะทำได้หรือไม่นั้น...มันไม่สำคัญเท่าความเอาใจใส่ที่ให้กันหรอก

ฉะนั้น ขอเหอะ...อะไรที่ทำแล้ว...มันไม่ได้เดือดร้อนถึงตาย...ก็ทำเถอะ...

อาจดูไม่เท่...ไม่หล่อ...อายเพื่อน.....

แต่คุณจะโคตรน่ารักในสายตา...ของคนที่รักคุณเลย

และนั่นมันก็สำคัญที่สุดแล้วไม่ใช่เหรอ.....




เฮ้อออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออ

โมโหโว๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

(ยิ่งคิดยิ่งโมโห)

การจัดการกับ"อดีต"

dnopista
อดีต.........มันก็เป็นแค่........เนื้อหาในสมุดแห่งความทรงจำบางส่วนบางตอนนะคะที่รัก
ที่...มีทั้งเรื่องดี........และก็เรื่องร้าย
อันที่จริงคนเราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องลืมอดีต....
....เนื่องจากว่าอดีต จะเป็นเสมือนโครงร่างที่จะช่วยลดความผิดพลาด...
...และขัดเกลาปัญหาต่างๆที่มักจะเกิดจากตัวเราเอง ให้มันลดน้อยลง
ซึ่งนั่นถือเป็นข้อดี....
.....
...แต่ในบางกรณี ก็ต่างออกไป ........
เมื่อใดก็ตาม...ที่"อดีต"มันกำลังมีผล ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นใน"ปัจจุบัน"กำลังค่อยๆพังทลายลงไปอย่างช้าๆ
เมื่อนั้นคงถึงเวลาที่...เราจะต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อที่จะลบอดีตเหล่านั้นออกไปจากชีวิตของเราเสียที
...ถึงแม้ว่ามันจะหอมหวานหรือทุกข์ทนเพียงใด....

ก็ไม่มีใครที่จะใช้ชีวิตใน"ปัจจุบัน" ด้วยเรื่องเก่าๆใน"อดีต"ได้

....เพราะมันไม่มีอยู่จริง......

ฉะนั้น ที่รักของพี่จงเข้มแข็งและแน่วแน่นะคะ...

...อยู่กับปัจจุบัน...

เพื่อที่ว่า....วันนี้ในปัจจุบัน...มันจะไม่กลายเป็นอดีตที่แสนโหดร้ายในวันข้างหน้าอีกต่อไป....

หยุดอดีตทุกอย่างไว้เพียงแค่นี้ เพื่อที่สุดที่รักของพี่จะได้เจอกับวัน...

....วันที่ไม่ต้องเศร้ากับเรื่องราวที่ผ่านมาอีกแล้ว....

สู้ๆนะคะคนเก่ง...น้องอ้อของพี่ปอนด์ทำได้อยู่แล้วล่ะ เนอะๆ เอ้า ยิ้มสู้มันนะคะ
พี่ปอนด์ยืนอยู่ข้างๆอ้อ ตรงนี้เสมอ ไม่ต้องกังวลนะคะ ไม่มีวันที่เราจะพรากจากกันนะคะคนดี

.........พี่ปอนด์ รัก อ้อนะครับ........

09 มกราคม 2551

ข้อดีและข้อเสีย ของอาการ"ชิน"ในมนุษย์


...ชินจัง...ชินจัง...ชินจัง...ชินจัง...

เวลาที่เราได้ยินคำนี้ คุณๆจะนึกถึงอะไรครับ...
แน่นอนว่า กว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์น่าจะอดไม่ได้ที่จะนึกถึง...ไอ้เด็กหัวรูปเมล็ดถั่ว จอมทะลึ่งแสนทะเล้น ที่มักสร้างเสียงหัวเราะให้เราแทบทุกครั้ง

แน่นอนว่าผมก็เป็นหนึ่งในนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย...แต่นั่นมันเมื่อนานมาแล้วครับ...

ทุกวันนี้ ถ้าเมื่อใดที่ผมบังเอิญไปได้ยินประโยคนี้....."ชินจัง"......
ภาพแรกที่เกิดขึ้นในห้วงความคิด มักจะเป็นภาพของเด็กสาววัยรุ่นที่กำลังแสดงกิริยาอาการของการ"ชิน"กับอะไรบางอย่าง
ท่วงท่าและสีหน้าของเธอไม่ได้บ่งบอกชี้ชัดว่า...เธอพอใจหรือไม่พอใจกับการ"ชิน"ครั้งนี้
แต่ทุกครั้งที่ภาพเหล่านี้ปรากฏขึ้นในสมอง...ผมเองอดที่จะคิดไม่ได้ว่า ไอ้ความ"ชิน"ของมนุษย์นั้นมันช่างแสนมหัศจรรย์พันลึกเหลือเกิน

ทำไมน่ะเหรอครับ...

...ก็ลองคิดดูเล่นๆนะครับว่า ถ้าคนเราไม่รู้จักชินกับอะไรบางอย่างที่มันแย่ลงแล้วล่ะก็...เราจะสามารถดำรงชีวิตต่อไปได้ยังไง
ยกตัวอย่างเช่น..

...อุณหภูมิของโลกที่กำลังร้อนขึ้นเรื่อยๆในตอนนี้ ถ้าเทียบกับเมื่อยี่สิบปีก่อนแล้วล่ะก็ อุณหภูมิขนาดนี้คงทำให้เราขาดใจตายไปนานแล้ว
ขนาดช่วงนั้นก็ถือว่าร้อนมากแล้ว และที่สำคัญคือมันค่อยร้อนขึ้นมาเรื่อยๆ แต่เราก็ทนกันได้ เพราะว่าเรา"ชิน"

...ภาวะรถติดของกรุงเทพฯ ที่แต่ก่อนดูจะเป็นปัญหาที่ใหญ่มาก มาถึงทุกวันนี้ปริมาณรถก็ยังมียอดเพิ่มขึ้นอย่างถล่มทลายในขณะที่ถนนเพิ่มขึ้นนิดหน่อย
แน่นอนว่าปัญหารถติดต้องยิ่งเพิ่มมากขึ้นอีกเป็นทวีคูณ แต่เราก็ทนกันได้ นั่นก็เพราะว่าเรา"ชิน"

และยังมีอีกมากมายหลายตัวอย่างที่ยกมาเขียนได้เป็นร้อยหน้า...แต่ไม่เขียน(อยากรู้อ่ะดิ)(เหอๆ)

จากตัวอย่างที่ยกมานั้น จะเห็นว่าโดยส่วนใหญ่แล้วอาการ"ชิน"โดยมาก มักจะเป็นกระบวนการแก้ภาวะความอึดอัดทางอารมณ์ โดยการค่อยๆเกลี่ยความรู้สึกอึดอัดให้เป็นเรื่องธรรมดาในที่สุด
แต่ก็มีบางครั้งที่อาการ"ชิน"นั้นเกิดจากการปรับตัวทางระบบชีววิทยา เช่น...
...คนที่เป็นกุ๊กจะต้องโดนน้ำมันกระเด็นใส่ตลอดเวลา ทีแรกก็ร้อน แต่พอนานเข้าก็เริ่มชินเริ่มไม่รู้สึก
...หรืออย่างเช่นคนที่ต้องเดินเท้าเปล่าตลอดเวลา ที่พอนานเข้าเค้าก็จะไม่รู้สึกเจ็บ คือ นอกจากเค้าจะชินกับความเจ็บปวดแล้ว ที่ฝ่าเท้าเค้าก็ยังหนาขึ้นเพื่อให้เดินได้ง่ายขึ้นอีกด้วย....

จะเห็นได้ว่า อาการ"ชิน"ก็คือระบบการปรับตัวทั้งทางร่างกายและก็จิตใจ ให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง เพื่อที่จะให้มนุษย์ผู้นั้นสามารถดำรงชีวิตต่อไปได้อย่างปกติสุข

เท่าที่ยกตัวอย่างมาบางส่วนนั้น จะเห็นว่า อาการ"ชิน"ช่างมีข้อดีและคุณประโยชน์เหลือคณานับกับมนุษย์เราเสียเหลือเกิน...
...แต่นั่นมันเพียงด้านเดียวที่เราเห็น....แท้ที่จริงแล้ว อาการ"ชิน"ก็มีข้อเสียที่น่ากลัวอยู่เหมือนกัน

ข้อเสียที่ว่านั้นก็คือ การ"ชิน"กับอะไรที่ดีๆ จนเป็นปกติ พอนานเข้าเราก็จะรู้สึกว่ามันช่างแสนจะธรรมดา และแสวงหาความพึงพอใจแห่งใหม่อย่างไม่รู้จบสิ้น

ข้อเสียอันนี้ มันเกิดขึ้นเนื่องจากว่า...ระบบการสร้างความเคยชินของมนุษย์นั้นจะเริ่มต้นขึ้นก็ต่อเมื่อ เมื่อใดที่เราต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่คงเดิมเป็นเวลานาน
หรือต้องพบเจอกับเรื่องราวหรือเหตุการณ์ซ้ำๆอยู่ตลอดเวลา โดยไม่ได้มีการจำแนกว่าเรื่องใดควรจะ"ชิน"และเรื่องใดไม่ควรที่จะ"ชิน"

ดังนั้นในหลายเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันของเราจึงถูกความ"ชิน"บ่อนทำลาย

ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่เราได้ของเล่นใหม่ รถใหม่หรืออะไรก็ตามที่ใหม่ สังเกตว่า เราจะเอาใจใส่มันอย่างที่สุด ดูแลมันอย่างดีที่สุด คิดถึงมันมากที่สุด
แต่พอนานเข้าเราก็จะเริ่มเบื่อ เริ่ม"ชิน"กับความใหม่นั้นจนกลายเป็นความรู้สึกที่แสนธรรมดาน่าเบื่อหน่าย และหาเรื่องอื่นที่สดใหม่กว่ามาทดแทน
นี่เป็นตัวอย่างที่เกิดขึ้นกับสิ่งของที่มันไม่มีความรู้สึก ...

...แต่ลองคิดดูว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นกับความรักและกับคนที่คุณรักล่ะ ...จะเกิดอะไรขึ้น...

...ถ้าวันนึงคุณรู้สึกเฉยๆกับคนที่คุณรัก หรือแม้แต่ตัวคุณเองก็อาจกลายเป็นก้อนเนื้อก้อนเก่าที่ปราศจากความตื่นเต้นเร้าใจ รอวันถูกเขี่ยทิ้ง

..แน่นอนว่ามันคงไม่ดีแน่ ไม่ดีกับใครเลย

...และที่สำคัญก็ คือ เราไม่ควร"ชิน"กับเรื่องพวกนี้เลย

เท่าที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ตัวผมไม่ได้ต้องการที่จะมาเปรียบเทียบว่า ไอ้ข้อดีและข้อเสียของอาการ"ชิน"นี้ อันใหนจะมากกว่ากัน
เพียงแต่ต้องการยกตัวอย่างให้เห็นถึงธรรมชาติของระบบการทำงานของมันก็เท่านั้น เพื่อที่ว่าในที่สุด...เราจะได้รู้เท่าทันตัวเอง
และเอามันมาปรับใช้เพื่อความสมบูรณ์ในชีวิต...

...มันจะดีแค่ใหน ถ้าเราพยายามทำทุกวันให้แตกต่าง ใส่ใจในความซ้ำ และรักกันเหมือนเพิ่งเจอกันวันแรก...โดยไม่ยอม"ชิน"กับสิ่งเดิม

...มันจะดีแค่ไหน ถ้าเวลาที่เราเกิดทุกข์ เราก็พยายาม"ชิน"กับความทุกข์นั้น จนมันเบาบางลงไปในที่สุด

...มันจะดีแค่ใหน ถ้าเราสามารถ"ชิน"หรือ"ไม่ชิน"กับสิ่งที่เหมาะสมได้

...เพราะถ้าเราทำได้จริง ความทุกข์ต่างๆที่เคยมีจะค่อยๆหายไป และความสุขที่เรามีก็จะยิ่งเพิ่มพูน

เพราะฉะนั้น มาเริ่มกันตั้งแต่วันนี้นะครับ...

อย่าเพิ่ง"ชิน"ไปซะก่อนนะครับ

(ยิ้ม)



ปล.ตอนนี้ตัวผมเองมีเรื่องที่ไม่สบายใจและทุกข์ใจกับมันมาก แต่ผมจะไม่ยอม"ชิน"กับมันหรอกครับ
เพราะผมเชื่อว่า บางครั้งความเจ็บปวดและทรมาน มันก็คืออาการที่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของบางเรื่อง บางคน ที่เราให้ความสำคัญกับเค้ามากๆ
มันคงจะแย่มาก ถ้าเกิดเรา"ชิน"กับเรื่องแบบนี้ เพราะถ้ามันเป็นแบบนั้นจริง นั่นหมายความว่า..ความสำคัญของเค้าเริ่มจะหายไปแล้ว
...ซึ่งเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้จริงๆ...
แต่ก็เอาเถอะครับ...ไม่ต้องเป็นห่วง...ตัวผมเองนั้น นอกจากจะทนเหมือนแรดแล้ว ก็ยังแรดเหลือทนอีกด้วยนะครับ เหอๆๆ

04 มกราคม 2551

ชิวิตนี้ ไม่มีอะไรแน่นอน

ชีวิตนี้...ไม่มีอะไรที่แน่นอนหรอกเนอะ(เสียงในความคิด..เอื้อนเอ่ยออกมาท่ามกลางความเงียบทางอารมณ์)ใช่....ไม่มีอะไรแน่นอนหรอก(เสียงจริง...เปล่งออกจากกล่องเสียงที่ไร้อารมณ์)จริงอยู่...ที่เราสามารถกำหนดวันพรุ่งนี้ให้เป็นไปตามที่เราต้องการได้แต่เราก็ไม่สามารถควบคุมมันได้....ทั้งหมด.....บางสิ่งบางอย่าง ได้ถูกใครบางคนกำหนดไว้แล้ว...หรือบางทีอาจไม่มีใครกำหนดอะไรเลยก็ได้...เพียงแค่ว่า...เรื่องเหล่ามันอยู่นอกเหนือการควบคุมของมนุษย์ธรรมดาอย่างเราๆท่านๆ.......ก็เท่านั้น..."ชีวิตจริง..ไม่ได้ควบคุมง่ายเหมือนการทดลองวิทยาศาสตร์หรอกนะครับ"ชีวิตจริง..สรุปผลการทดลองค่อนข้างยากลำบากว่า"สำเร็จ"หรือ"ล้มเหลว"ใคร"ผิด"หรือใคร"ถูก"...ตัดสินกันค่อนข้างลำบาก...เพราะ...ผลดีหรือร้ายที่เกิดขึ้น...ให้ผลกับบางคน..บางสังคม..บางวัฒนธรรมแตกต่างกันไปตามระยะเวลาที่เนิ่นนานมากขึ้นเรื่อยๆคนที่ดูโหดร้ายในช่วงต้น...อาจกลายเป็นวีรบุรุษในอีกหลายร้อยปีต่อมาคนที่ดูบ้าบอ หลุดโลก...อาจกลายเป็นอัจฉริยะในอีกหลายช่วงศตวรรษ....แล้วเราจะเอาอะไรมาวัดกันหล่ะครับพี่น้อง(แน่นอนว่า..ต้องป็นดอกไม้กับปิ่นโต อย่างแน่นอนค้าบ...(ฮา))..ว่าไอ้ที่เราทำๆอยู่เนี่ย..ตกลงมัน"ผิด"จริงเหรอเราจะมีทางรู้ได้มั้ย...ว่ามันน่าจะเป็นสิ่งที่"ถูก"ในอนาคต
แน่นอนว่าไม่มีใครบอกได้...
มีแค่ตัวเราเองเท่านั้นแหละครับ...ที่รู้
..รู้ว่า..เราทำไปด้วยเจตนาที่ดีหรือเปล่า
...ผมเชื่อนะครับ...ว่า...
ถ้าเราคิดดี...ไม่ว่าการกระทำนั้นจะขัดกับความรู้สึกของคนอื่นอย่างไร
มันก็ต้องดี...
ดีกับเรา...และที่สำคัญที่สุดก็คือ ดีกับคนที่เราตั้งใจทำให้เค้าด้วย(แม้ว่าตอนนี้เค้าอาจจะยังไม่เห็น)
เราเชื่อว่า....
...เราดูแลเค้าได้ดีกว่า...
...รักเค้าได้มากกว่า...
และถึงแม้ว่า..ปลายทางอาจจะไม่หอมหวาน..
เราก็เชื่อว่า...
..อย่างน้อยในระหว่างทาง..
เราก็จะไม่ทำให้เค้าผิดหวัง..ไม่ทำให้เค้าเศร้า...
เพื่อให้อย่างน้อยตอนจบ ถึงแม่ว่าจะเศร้าไปนิด...แต่ก็เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม
...จบอย่างงดงาม..
แต่ไม่ต้องกังวลครับ...
คงอีกนาน...เพราะนี่ผมยังไม่ได้เริ่มเขียนเลย...
ทำได้แต่นั่งคิดไปวันๆ...ฝันไปวันๆ...
และที่สำคัญ...
ผมไม่ถนัดเขียนเรื่องเศร้าหรอกครับ....
...เนอะ(ยิ้ม)

บันทึกของกิ้งก่าน้อย(บทแตกต่อจาก กิ้งก่ากับหน้ากาก)

03 สิงหาคม 2550
14:00 น. กรมศิลปากร
(จากส่วนหนึ่ง ในบันทึกของกิ้งก่าน้อย)(แนะนำให้อ่านบทก่อนหน้านี้ซะก่อนนะครับจะได้ไม่งง)


วันนี้ได้มีโอกาสคุยกับมนุษย์คนหนึ่ง...คุยกันนานเลย
หัวข้อที่คุย..ก็เหมือนเคยแหละ..
ไม่ว่าครั้งไหนๆ..."มนุษย์"ก็มักจะโอ้อวดในความสามารถของตัวเองอยู่เสมอ..เสมอ...

อันที่จริงแล้ว..ถึงแม้ว่าเราจะแอบหมั่นไส้อยู่บ้าง
แต่เราก็รู้สึกว่า...มนุษย์นั้นเก่งจริงๆ..ทั้งๆที่เกิดทีหลัง..
แต่ปัจจุบันกลับดู..มีพัฒนาการเยอะที่สุด...เยอะมาก...
เยอะจนเราคาดไม่ถึง...และตามไม่ทัน

...ไม่มีวันตามทัน
....
สัตว์เลื้อยคลานอย่างเรา...
มีชีวิตอยู่ได้...ด้วยการขับเคลื่อนของสัญชาตญานเพียงอย่างเดียว
...เราไม่ต้องคิดอะไร
หิวเราก็กิน..ง่วงเราก็นอน...
จู่ๆวันดีคืนดี...ก็ถูกจับกินซะงั้น...
เหอๆ...ตลกดี

เราอิจฉามนุษย์ที่มีความคิดเป็นของตัวเอง..แต่ละคนสามารถคิดเองได้อย่างอิสระ
ต่างจากพวกเรา...ที่ไม่มีโอกาสคิด...ทุกสิ่งดำเนินไปเพราะมันต้องเป็นอย่างนั้น
ผมไม่แปลกใจเลย..ที่ไม่มีซักตัวในพวกเราที่ได้เป็นนายก(จำมาจากที่มนุษย์ชอบพูดกัน)
...เพราะพวกเราเหมือนกันหมด เหมือนโดยไม่ได้ตั้งใจ..เพราะไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะตั้งใจ

ฟังดูน่าเศร้า...แต่พวกเราก็ไม่เป็นไรหรอก

...เพราะเราเศร้าไม่เป็น...
....
เราอิจฉามนุษย์มาตลอด...เพราะมนุษย์สามารถสร้างความแตกต่างได้
สร้างคุณค่าในตัวเองได้ อย่างที่ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร
เราอิจฉาตลอดมา...จนกระทั้งวันนี้

...วันนี้เรารู้สึกต่างไป...ไม่เหมือนเดิม

...เราไม่เข้าใจว่า...
...เหตุใดมนุษย์จึงละทิ้งความสามารถในการแยกแยะและคิดอย่างเป็นอิสระของตัวเองไป
...ทั้งที่มันเป็นสิ่งที่ดีมากๆ
...เพราะสิ่งนี้มันจะทำให้มนุษย์ทุกคนสามารถตอบสนองความต้องการของตัวเองได้อย่างไม่รู้จบ
...สามารถเข้าใจตัวเองและคนอื่นได้อย่างถ่องแท้และตรงจุด

...ทั้งที่มีสิ่งที่ดีมากอยู่กับตัว...
...แต่มนุษย์กลับเลือกที่จะเชื่อในสิ่งที่คนส่วนใหญ่บอกให้เชื่อ
เชื่อโดยปราศจากการคิดไตร่ตรอง...เชื่อเพราะเค้าบอกว่าดี...

เพื่อนๆที่กำลังอ่านบันทึกของผมอยู่ไม่ต้องแอบเถียงในใจนะครับ..

ผมไม่ได้หมายถึงว่าเราต้องลองไปซะหมด...

...เรื่องอะไรที่ลองแล้วมันมีผลเสียกับคนอื่นหรือกับตัวเราเอง
เราก็ไม่ต้องไปลองมันหรอกครับ..เช่นพวกยาอี ไรเงี้ย(แหม เถียงในใจกันเชียว)

หรือบางเรื่องที่มันไม่ได้ทำให้เราเดือดร้อนมากมายถ้าไม่รู้จริง..ก็ไม่เป็นไร เว้นไปบ้างก็ได้ครับ
เช่น จักรวาลไม่มีที่สิ้นสุด แต่มีขอบเขตไรเงี้ย(แฮ่ๆๆ..ล้อเล่นนะค๊า)
เรื่องพวกนี้มันเป็นองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ที่มีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้เสมอ...

แต่ที่ผมกำลังพูดอยู่น่ะ หมายถึงว่า...

... เรารู้ดีที่สุดว่าเราชอบอะไร ถนัดอะไร แต่ก็มักเอาแต่ทำตามคนอื่น...
แล้วเวลาผิดพลาดมา..ก็มักจะโทษคนนู้นคนนี้ว่าแนะนำไม่ดี

เฮ้ออออออออออ....

ผมล่ะงงจริงๆ..ว่ามนุษย์อย่างพวกคุณยังไม่รู้จักตัวเองกันอีกเหรอ

...หลายคนคงเคยอธิบายกับคนอื่นว่า..
"...เห็นเราเป็นอย่างนี้...แต่จริงๆแล้วเราเป็นแบบนี้นะ"
เพราะสิ่งที่สื่อออกมา อาจไม่ใช่สิ่งที่คุณเป็น...
.........
เพราะงั้น...แน่นอนว่าในทางกลับกัน
สิ่งที่คุณเห็น..อาจไม่ใช่สิ่งที่เค้าเป็น

...แต่ทำไงดีล่ะ คนส่วนใหญ่มักทึกทักอย่างจริงจังว่าเป็นอย่างนั้นแน่นอน...

คุณก็เลยต้องบอกว่า...

"...โห...ทำแบบนี้ก็ต้องเป็นแบบนี้อยู่แล้วล่ะ"
(ประโยคสุดคลาสสิคที่จำเค้ามาพูดทั้งนั้น...ใครๆเค้าก็บอก ใครๆเค้าก็คิด เฮ้อออออออออออออ)

เพื่อให้ดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้....แค่นั้น(น่าภาคภูมิใจจริงๆ)
.....
ใครจะรู้ว่าเบื้องหลังม่านน้ำตาของผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกสามีทิ้ง..และผู้หญิงคนนี้ดันเป็นเพื่อนคุณ...มันมีอะไรแอบแฝงอยู่บ้าง
คุณอาจรุมประนามผู้ชายคนนั้นว่าเลว...ว่าโหดร้าย..แต่คุณเคยรู้บ้างหรือเปล่าว่า(หมายถึงรู้จริงๆนะ ไม่ใช่ฟังจากเพื่อนคุณฝ่ายเดียว)เพื่อนคุณทำอะไรกับเค้าไว้บ้าง
คุณกล้าที่จะรู้หรือเปล่า..และถ้าคุณรู้แล้ว ปรากฏว่าเพื่อนคุณผิด..คุณจะกล้าบอกกับเพื่อนคุณอย่างนั้นหรือเปล่า ยอมรับความจริงได้หรือเปล่า
.....
จะดีกว่ามั้ย...
ถ้าเกิดคุณจะลองเปิดใจและทำความเข้าใจในเหตุผลของคนอื่นดูบ้าง
...โดยปราศจากอคติ...(ยาก แต่มนุษย์อย่างคุณๆท่านๆทำได้อยู่แล้วล่ะ..อยู่ที่จะทำหรือเปล่าเท่านั้นแหละ)
และเชื่อใจคนที่คุณห่วงเค้า บ้างว่า....เค้าต้องมีอะไรที่สำคัญมากๆแน่นอนถึงได้ทำอย่างนี้

แค่เชื่อใจ...แค่นั้นเอง

เพราะบางอย่าง...บางคนอาจไม่มีทางเข้าใจ ถ้าไม่เจอกับตัวเอง

การที่คุณไม่เข้าใจ..ไม่ได้ผิดอะไร...ขอเพียงแค่เชื่อใจกัน
อย่าไปบอกว่าคนนั้นผิด...คนนี้ถูก
คุณไม่ได้เก่งขนาดนั้น

ไม่มีใครเก่งขนาดนั้น

...ขอแค่คุณอยู่เฉยๆอย่างให้เกียรติกัน
มิตรภาพมันก็จะยาวนาน...ตราบจนสิ้นกรรม(เหอๆๆ)

ปล.อย่าหมั่นไส้ผมเลย ผมมันก็แค่สัตว์เลื้อยคลานตัวเล็กๆที่ไม่มีคุณค่าอะไร ผมทำอย่างคุณไม่ได้หรอก ผมไม่เก่งขนาดนั้น เพราะฉะนั้นไม่ต้องมาทำค้อน เหอๆๆๆๆ
....
กิ้งก่าน้อยกรอยใจ(...ทำไมต้องกิ้งก่าน้อยกรอยใจด้วยอ่ะ...)(ไม่รู้อ่ะ)(แฮ่ๆๆ)
15:00 น.

กิ้งก่ากับหน้ากาก

มนุษย์เรา..
เป็นสัตว์ที่มีศักยภาพสูงในการทำความเข้าใจกับสภาพแวดล้อมรอบตัว
และสามารถปรับตัวให้เข้ากับทุกองค์ประกอบที่รายล้อมได้เป็นอย่างดี

แน่นอนว่า...

...กิ้งก่าบางตัวอาจหันมาค้อน แล้วเถียงด้วยสีหน้าคร่ำเคร่งว่า...
...จะปรับตัวเก่งได้ยังไง..ในเมื่อมนุษย์เปลี่ยนสีไม่ได้

...อืม..ก็จริงอยู่ (มนุษย์ครุ่นคิด)

..แต่มนุษย์เราก็มีเสื้อผ้าอาภรณ์ที่หลากหลาย ที่ทำให้เปลี่ยนสีได้โดยไร้ขีดจำกัด
...กิ้งก่าอย่างพวกท่าน เปลี่ยนสีเป็นลายหลุยซ์ วีต๊องงได้อ๊ะเปล่าล่ะ(มนุษย์แสยะยิ้ม)
(ฮึ!!!...กิ้งก่าทำท่าตะปู....ค้อน!!!!!!!!!!!)(ฮา)

เพราะเรามีสมองที่ทรงพลังที่สุดในโลก...ถ้าเราทำอะไรไม่ได้...
เราก็แค่สร้างมันขึ้นมา...ไม่ต้องรอโอกาสจากธรรมชาติเหมือนพวกท่านหรอก
เราไม่มีกระดอง..ไม่มีเปลือกแข็ง..เราก็แค่สร้างตึกขึ้นมาห่อตัวเราไว้..
นอกจากจะแข็งแรงกว่าแล้ว..ยังกว้างขวางกว่าอีก...สวยกว่าด้วย
(ฮึ!!!...กิ้งก่าทำท่าตะปูอีกครั้ง....ค้อน!!!!!!!!!!!)(ฮา)
...พอแล้ว!!!เล่นซ้ำ!!!!(ฮา)

และนอกจากเราจะมีเสื้อผ้าที่สามารถเปลี่ยนสีตัวเรา..มีตึกห่อหุ้มตัวเราได้แล้วนะ...(มนุษย์พูดต่อ)
...เรายังมีหน้ากากที่สามารถทำให้เราเปลี่ยน"สี"ของสถานะทางสังคมของเราได้ด้วยนะ
(นี่ถือเป็นขั้นแอดวานซ์สุดๆของเราเลยนะ...รู้แล้วเหยียบไว้)(กิ้งก่าทำหน้าสงสัย)

อยากให้ใครรู้สึกดีกับเรา...เราก็ใส่หน้ากากที่ดูดีเข้าไปหาเค้า...
"คนส่วนใหญ่"คิดว่าแบบไหนดี...เราก็ใส่หน้ากากที่"พวกเค้า"คิดว่าดีนั้นเข้าหา...
แค่นี้เราก็ดูดีแล้ว...ง่ายๆ(น้ำเสียงภูมิใจ)

..อะไรนะ...โห..ไม่ต้องไปคิดมากหรอก
จะเสียเวลาไปรู้ทำไม..ว่าทำไมมันถึงดี...แค่ทำตามก็พอแล้ว
ขืนมัวแต่ไปนั่งคิดว่า...ทำไมคนนั้นถึงทำอย่างนี้..คนนี้ถึงทำอย่างนั้น...

วันๆไม่ต้องทำอะไรกันพอดี...

ทุกคนย่อมมีเหตุผลของตัวเอง...ถ้าเราไปนั่งทำความเข้าใจทั้งหมดคงไม่ไหวหรอก

เกาะกระแสไว้ดีกว่า...เซฟสุด...เชื่อดิ

เพราะถ้าเกิด..ใครบางคนเลือกเดินทางที่แตกต่างกับกระแสหลักนะ
เวลาที่เค้าล้ม...เจ็บตัว...เราก็แค่เดินไปบอกเค้าว่า..
...เห็นมั้ยล่ะ...บอกแล้วไม่เชื่อ...ทุกคนก็จะชื่นชมเราว่ารู้จักตักเตือนเพื่อน..ตักเตือนพี่
...อะไรนะ..ถ้าเกิดเค้าสวนกระแส แล้วผ่านไปได้ด้วยดีน่ะเหรอ...
โห่..ก็ไม่เห็นจะมีอะไรเล๊ยย...บอกให้ก็ได้
..ก็เข้าไปยิ้มแสดงความดีใจด้วย...พร้อมกับประโยคสุดคลาสสิคว่า...

โห...ไม่น่าเชื่อเลยนะ ว่าเธอจะทำได้ เรามองเธอผิดไปจริงๆ...เธอนี่สุดๆจริงๆยอมรับเลยอ่ะ...แล้วก็ยิ้มนิดนึง

...แค่นี้เค้าก็ไม่โกรธไม่เคืองอะไรเราแล้ว...เชื่อดิ
เห็นมั้ยว่า...มันเป็นขั้นแอดวานซ์จริงๆ...

เพราะไม่ว่าสถานการณ์ไหนๆ...
...เราก็จะถูกเสมอ...มีคนยอมรับเสมอ...
กิ้งก่าอย่างพวกนายทำได้หรือเปล่าล่ะ(ทำท่าทางเย้ยหยัน)

".................................."
".................................."
".................................."

(กิ้งก่ามองหน้ามนุษย์ผู้นั้น ด้วยสายตาเฉยชาอย่างที่สุดที่สัตว์เลื้อยคลานตัวหนึ่งจะทำได้)
(ไม่มีสำเนียงเสียงใดๆหลุดออกมาจากปาก...)(แล้วมันก็เดินจากไปอย่างเงียบๆ)

อ้าว...อยู่ๆก็หนีไปซะงั้น..ไร้มารยาทจริง
แทงใจดำอ่ะดิ...
เชอะ...ไม่เห็นสนใจเลย
พวกกิ้งก่าก็อย่างนี้แหละ

"..ใครๆเค้าก็บอก"

.....เนอะ......


ปล.เขียนให้ดูน่ากลัวไปงั้นแหละ...เอาเข้าจริง ทุกคนก็แค่"เป็นห่วง"
ขึ้นชื่อว่า"ห่วง"ย่อมมีลักษณะเป็นวง ที่สามารถรัดอะไรๆให้แน่นได้เท่าที่ต้องการ

"ยิ่งเป็นห่วงมาก ก็ ยิ่งรัดแน่นมาก"

การ"เป็นห่วง"ถือเป็นเรื่องที่ดี...ถ้าการเป็นห่วงนั้น...
ถูกที่ ถูกเวลา และช่วยดึงใครบางคนออกมาจากสิ่งไม่ดี
..สิ่งที่จะทำให้เค้าต้องตกอยู่ในความทุกข์ตลอดชีวิต
........
แต่ถ้าการเป็นห่วงนั้น...

เกิดจากความรู้สึกของคุณเอง(หรือคุณอาจอ้างว่าเป็นความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ก็ตาม)
...โดยปราศจาก"ความเข้าใจ"ในความรู้สึกของคนที่คุณบอกว่ากำลังห่วงเค้า...อย่างแท้จริงแล้ว

ห่วงนั้นแทนที่มันจะช่วยพยุงฉุดรั้ง...
มันกลับจะยิ่งรัดแน่น..
...จนคนที่คุณห่วงอาจจะไม่มีพื้นที่ให้หายใจอีกเลย

ดังนั้น...

ก่อนที่จะ"เป็นห่วง"ใคร

ได้โปรด"ทำความเข้าใจ"กับทุกเรื่องทุกสิ่งทุกอย่างของเค้าให้ละเอียดซะก่อน..อย่าคิดเอาเอง

(อย่าอ้างว่าคุณไม่รู้...เพราะคุณบอกเองว่า"ถ้าไม่สนิทกันจริง..ไม่พูดนะ")

อย่าให้"ความรู้สึกดีๆ"ที่"ปราศจากความเข้าใจ"
ต้องมาทำร้ายกันเองเลย

เพราะนั่นเค้าเรียกว่า..."ไม่ห่วงกันจริง"

และที่สำคัญ..

...มันโคตรเจ็บเลย...

คำพูดคือพันธนาการ...จริงหรือ?

ทุกคนคงเคยมีแฟน...มากกว่าหนึ่งคนใช่มั้ยครับ
เอ่อ....
ผมหมายถึงว่า...ตั้งแต่โตมาน่ะครับ(แหม่..ค้อนกันเชียว)
เคยมีแฟนมาแล้วหลายคนใช่มั้ย...
เพื่อนรักของผมคนนึง...
ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องของ อดีต กับ ปัจจุบันไว้
ประมาณว่า...ตอนนี้สมมตืว่าผมกำลังรักคนคนหนึ่งอยู่...
ผมก็บอกเค้าว่า....รักเค้ามาก...รักมากที่สุดในโลก....
แต่ก่อนหน้านี้...
ผมก็เคยพูดประโยคนี้กับแฟนคนก่อนเหมือนกัน....
รวมถึงแฟนคนก่อนๆอีกด้วย....
...นี่มันถือว่า...ผมเป็นคนไม่จริงใจมั้ย...หรือว่าพูดกับใครก็ได้...หรือเปล่า?
อืม....ที่จริงแล้ว..ผมไม่อยากคิดนะ...
แต่คิดไปคิดมา....มาลองวิเคราะห์กันดูซักตั้งก็น่าจะดีเหมือนกันนะ
...ว่าไอ้ที่ผมทำอยู่ มันถือเป็นเรื่องที่ไม่จริงใจมั้ย

ว่าด้วยเรื่องของความรักแล้ว...
เวลาที่เรารักใครแล้ว...เราก็ควรจะรักเค้าตลอดไปหรือเปล่า...
และไม่สามารถรักคนอื่นได้อีกเลยหรือเปล่า....
อืม...
เพราะถ้าเราถือว่า คำพูดนั้น..เป็นเรื่องที่สำคัญมาก
..มันก็น่าจะมีเหตุผลมากพอ ที่จะไม่ต้องรักใครอีกเลย
ไม่ว่าความรักที่มีอยู่จะดีหรือร้าย...เราก็ยังต้องรัก รัก และรัก
...เพราะว่าเราได้พูดไปแล้ว...อย่างนั้นหรือ?
อืม...หรือว่า...
ในเมื่อคำพูดนั้นมันสำคัญมาก...
งั้นเอางี๊...ถ้าเกิดยังไม่แน่ใจ...ก็ยังไม่ต้องพูด...ไม่ต้องบอก...ศึกษากันให้แน่ใจซะก่อน
....ถ้าคิดว่าใช่แล้ว....ก็ค่อยบอก
อือฮึ....ก็เป็นความคิดที่เข้าท่าดี

...แต่ว่า

...แล้วเมื่อไหร่ล่ะ..ที่เราจะรู้...ที่เราจะแน่ใจ
และที่สำคัญ...เราจะรู้ได้ยังไงว่า เราแน่ใจแล้วจริงๆ
ในเมื่อยิ่งรู้จักกันนานก็ยิ่งรู้สึกต่างไป เพราะเราจะได้รู้อะไรมากขึ้นเรื่อยๆ
และอีกอย่างที่สำคัญกว่านั้น คือ....จะมีใครรอเรามั้ย...อืม....
นั่นสินะ...น่าคิด

สำหรับผมแล้ว....
การที่ผมจะรักใครซักคนนั้นถือเป็นเรื่องยากมาก
เพราะผมไม่ได้ออกตามหา...
ผมเลือกที่จะรอ...ให้คนคนนั้นก็เดินเข้ามาในชีวิตผมก่อน...
หรือหลายคนอาจเรียกมันว่า...ความบังเอิญ
เค้าอาจจะแค่ผ่านมา แล้วก็ผ่านไป แต่อย่างน้อย...
การที่คนสองคนที่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน...อยู่ๆก็ได้มาร่วมทางกันแป๊บนึง..ก็ถือเป็นเรื่องที่แปลกแล้ว
แน่นอนว่า...ในชีวิตนี้เราจะเจอะเจอกับเหตุการณ์แบบนี้นับครั้งไม่ถ้วน...แล้วใครล่ะ
นั่นสิ...แล้วใครล่ะ....

...ถึงเวลามันก็รู้เอง...

ผมเชื่ออย่างนั้น

แล้วถ้าเกิดวันหนึ่งเรารู้แล้ว....เราจะทำยังไง
ในเมื่อโอกาสที่มันจะเจอก็ยากอยู่แล้ว...
อุตส่าห์เจอแล้ว จะปล่อยเค้าผ่านไปเฉยๆงั้นเหรอ
โดยมัวกังวลอยู่กับคำพูดเดิมๆที่เคยพูดไปแล้วกับคนก่อนงั้นเหรอ....
ผมไม่คิดอย่างนั้นแน่....ไม่มีทาง!!!!

การที่เราจะรู้จักใครซักคน แล้วจะสามารถบอกได้ว่า เค้าคือคนที่เหมาะกับเราที่สุดแล้วตลอดไปในชีวิตนี้ เราจะไม่รักใครอีกแล้วในชีวิตนี้อย่างจริงจัง
สำหรับผม....มันเป็นไปไม่ได้...
เนื่องจาก...
กระบวนการเรียนรู้ของคนเรานั้นขึ้นอยู่กับเวลา และปริมาณข้อมูลที่ได้รับ ซึ่ง....
ยิ่งนานมาก ก็ยิ่งได้เรียนรู้มาก....คนเรายิ่งอายุมากขึ้น...ก็จะคิดได้มากขึ้น...กว้างขึ้น...อย่างไม่รู้จบ
เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าในอนาคต...เราจะคิดยังไง ความคิดเราจะเปลี่ยนไปมั้ย
เพราะ เราไม่สามารถควบคุมสิ่งต่างๆรอบตัวได้ทั้งหมด...
ถ้าไม่เชื่อลองนึกดูเล่นๆว่า...ความคิดในวัยเด็กของคุณเปลี่ยนไปแค่ไหนเมื่อคุณโตขึ้น...
คุณอาจเคยอยากเป็นหมอ โตขึ้นจะได้รักษาพ่อแม่ แต่ทำไมโตขึ้นมาถึงเปลี่ยนใจซะล่ะ...ตอบตัวเองได้มั้ย
แน่นอนว่า...ตอนนั้นคุณยังรู้ไม่พอ
แล้วทำไมตอนนี้..ถึงคิดว่าตัวเองรู้อะไรมากพอแล้วล่ะครับ...
คุณไม่มีทางที่จะรู้ได้เท่าตัวคุณเองในอีกสิบปีข้างหน้าหรอก
ไม่อย่างนั้น...เราอาจจะต้องรักเพื่อนสมัยอนุบาลไปตลอดชีวิต...เพราะตอนนั้นเรารักเค้าไปแล้ว...(หรือไม่จริง)(ฮา)
หลายคนอาจหาทางออกให้ตัวเอง ด้วยเหตุผลที่ว่าตอนนั้นยังเด็กอยู่ ยังไม่รู้อะไร...
ซึ่งไม่ต่างอะไรเลยกับคุณเองในตอนนี้...คุณก็คือเด็กคนหนึ่ง เมื่อเทียบกับตัวคุณเองในวันข้างหน้า
เพราะฉะนั้น เราควรจะเครียดกับคำพูดของตัวเราเองในตอนนี้หรือ?

สำหรับผมแล้ว...
ทางออกของผม...อาจดูไม่สวยหรู
อาจดูว่า...ผมปฏิเสธความรับผิดชอบในคำพูดของตัวเอง...(ที่เมื่อก่อนเคยพูดไป)
อาจดูว่า...ผมบอกรักกับใครก็ได้...(กับแฟนคนที่หนึ่งและสอง)

....ช่างมันปะไร....

อย่างน้อย...ผมก็ไม่เคยหลอกตัวเอง...
ไม่เคยโกหกความรู้สึกของตัวเอง...
รู้สึกยังไงก็บอกอย่างนั้น..
ผมอยู่บนพื้นฐานของโลกแห่งความจริง...
ที่ชีวิตเราต้องเดินไปข้างหน้าทุกวัน....
กับคนที่ผมรัก....(ในปัจจุบัน)
ผมคิดอย่างจริงจังเสมอ...ว่านี่คือคนที่ผมรักที่สุด
และผมก็จะดูแลเค้าให้ดีที่สุดที่ชีวิตของผมจะทำได้
ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น...เค้าก็จะเป็นคนสุดท้าย ที่จะร่วมใช้ชีวิตไปด้วยกันกับผม...
นั่นก็เพราะผม"รัก"เค้า

แต่"ความรัก"เป็นเรื่องของคนสองคน ที่มีเงื่อนไขเรื่องการปรับตัว การทำความเข้าใจและยอมรับซึ่งกันและกันเข้ามาเกี่ยวข้อง
มันจะยาวนานหรือแสนสั้นไม่มีใครบอกได้...ขึ้นอยู่กับคนทั้งคู่ว่าจะประคับประคองมันไปได้ไกลแค่ไหน
ดังนั้น..ถ้าคุณบอกรักใคร..มันจึงไม่ได้หมายถึงว่าคุณจะต้องรักเค้าไปตลอดชีวิต
แต่มันขึ้นอยู่กับคุณและเค้าว่าจะ"เข้าใจ"กันได้แค่ไหนต่างหาก
แล้วก็ที่สำคัญอีกเรื่องก็คือ...ถ้าเกิดว่าทุกอย่างมันก็ราบรื่นดี คุณจะยังรักษา"ความรัก"ของคุณไว้ได้หรือเปล่า

ผมจึงคิดอย่างนี้เสมอ...เสมอมา....กับทุกคน โดยไม่เคยที่จะกังวลเลยว่าวันข้างหน้าผมจะยังรักเค้ามั้ย?
(เพราะวันนี้แค่ผมรู้ตัวดีว่ารักเค้ามากๆ...นี่น่าจะสำคัญที่สุดแล้ว)
ใครจะไปรู้ว่า...วันนึงเค้าอาจจะกลายเป็นเอเย่นขายยาอีและค้าเนื้อสดอย่างเลือดเย็น อย่างที่คุณคงรักไม่ลง
(ซึ่งแน่น่อนว่า...ในตอนนั้นหลายคนต้องพยายามสรรหาเหตุผลมาแก้ต่างให้ตัวเอง....ว่าเลิกเพราะอย่างนั้นอย่างนี้นะ)
(เพื่อที่ตัวองจะได้พ้นผิด...ที่ไม่รักษาคำพูด)
(ทั้งๆที่จริงแล้ว...มันไม่ได้ต่างกันหรอกครับ(ในกรณีที่ยึดถือคำพูดเป็นหลักอ่ะนะ))

ซึ่งถ้ามันเป็นแบบนี้แล้ว...

"จะไปคิดในเรื่องที่คุณเองไม่มีวันที่จะควบคุมมันได้ทำไม...."

จะมัวไปกังวลกับแค่คำพูดเพียงไม่กี่คำทำไม?....มันสำคัญแค่ไหนกัน...
...สิ่งที่สำคัญที่สุด..มันคือการทำในสิ่งที่ดีๆให้คนที่คุณรัก..มีความสุขไม่ใช่เหรอ
ด้วยเหตุนี้แหละ...มันเลยทำให้...ผมไม่เคยลังเลที่จะทำทุกๆอย่างให้อีกฝ่ายได้รู้สึกดี
โดยปราศจากความกังวลใดๆทั้งสิ้น...
เพราะเราไม่รู้ว่า...อนาคตข้างหน้ามันจะเป็นยังไง...จะดีหรือร้าย...จะช้าหรือเร็ว
สู้ตอนนี้...ทำดีให้เยอะๆๆ...ให้มีแต่เรื่องดีๆ...มีแต่ความรู้สึกดีๆ
อยู่กับ"ปัจจุบัน"ให้มากที่สุด
ใหนๆก็ได้มีโอกาสมาเจอกันแล้ว...
ทำดีให้มันสุดๆเท่าที่คุณจะทำได้...ไม่ดีกว่าเหรอ
ไม่แน่นะ...ผมว่า...
บางทีแล้ว...ไอ้เรื่องดีๆที่คุณทำอย่างจริงใจนี่แหละ
มันจะเป็นตัวที่ช่วยฉุดรั้งความสัมพันธ์ที่ดีไว้ให้ยาวนาน
เป็นยาสมานเวลาที่มีรอยร้าว...ในวันที่จะเกิดปัญหา
ซึ่งถ้าไม่ทำไว้ตั้งแต่ตอนนี้...ปล่อยจนเกิดเรื่อง...
ถึงตอนนั้นมันก็ไม่ทันแล้วล่ะครับ...
เพราะความ"รัก"ไม่สามารถสร้างขึ้นได้เพียงชั่วข้ามคืนหรอก
ถึงตอนนั้นก็ต้องมานั่งเสียใจว่า...ตอนนั้นน่าจะทำดีให้มากกว่านี้
...ซึ่งเรื่องอย่างนี้ไม่เห็นจะดีตรงไหน

จริงอยู่ที่ว่า...เราควรหันกลับไปมองอดีตบ้าง แต่นั่นก็เพื่อเก็บเอาความผืดพลาดมาแก้ไขให้มันดีขึ้น
เอาอดีตมาเป็นบทเรียน..เพื่อที่มันจะไม่มีวันเกิดขึ้นซ้ำสองอีกไม่ใช่เหรอ
...นี่น่าจะเป็นประโยชน์ของการกลับไปมองอดีตที่ผ่านมาแล้ว
แต่ถ้าเราจะเอาอดีตมาทนทุกข์และหลอกหลอนตัวเอง...
(แต่แน่นอนว่า..ผมไม่ทุกข์และไม่หลอนหรอก...เพราะผมเต็มที่กับมันมาตลอดอยู่แล้วนี่นา)
นอกจากจะไม่มีอะไรดีขึ้นมาแล้ว...ยังเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์
...แทนที่จะเอาไปทำเรื่องดีๆให้มันเกิดขึ้น
จะมาเสียเวลาจมอยู่กับอดีตทำไม..
เชื่อเถอะครับ...ถ้าคุณทำสิ่งดีๆ ด้วยเจตนาที่ดี...
ยังไงก็ตาม มันจะต้องเกิดผลดี ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ถ้าเกิดชีวิตคุณดี คนรอบตัวคุณก็จะรู้สึกดีๆไปด้วย
คนรอบตัวพวกเค้าก็จะรู้สึกดีไปอีกเป็นทอดๆ อย่างไม่รู้จบ
อยากให้สังคมดี...เริ่มต้นง่ายๆที่ตัวคุณเองนะครับ


"ความรัก"สำหรับผมมันไม่ใช่ว่าคุณจะต้องคบกับสิบปีถึงจะรักกันได้
"ความรัก"
มันเป็นเพียง"น้ำหล่อเลี้ยง"ที่จะช่วยกระตุ้นให้คุณ
อยากจะทำแต่สิ่งดีๆให้กับคนที่คุณรัก
เป็น"สายใย"ยึดเหนี่ยวให้คุณกลับมาง้อกันเวลาที่คุณทะเลาะ
และ
"ความรัก"
อาจเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะทำให้คุณมีความสุขสุดท้ายก่อนที่จะสิ้นลม
เห็นมั้ยครับ...
ว่า"ความรัก"มันเป็นเรื่องที่ดีแค่ไหน
มันทำให้โลกนี้น่าอยู่ขนาดไหน

ฉะนั้น...อย่าไปกังวลกับ"ความรัก"ที่เป็นแค่ตัวหนังสือหรือแค่คำพูดเลยนะครับ
ว่ามันจะทำให้คุณดูจริงใจหรือเปล่า...เป็นแค่คำพูดที่พร่ำเพรื่อหรือเปล่า
ซื่อตรงกับความรู้สึกแล้วทำมันออกมาด้วยหัวใจของคุณ
แค่นี้....ความสุขมันก็ปูพรมไปในทุกๆที่แล้ว
"รัก"กันเข้าไปเถอะนะครับ
(ยังไงมันก็ดีกว่ามานั่ง"ทุกข์"แน่นอน..เนอะ)
(ยิ้ม)

...วันแม่...

วันนี้เป็นวันแม่ครับ......
โดยปกติแล้ว ผมไม่เคยได้กลับบ้านที่ต่างจังหวัดเพื่อไปหาแม่เลย...
...ด้วยภาระกิจ...
...การงาน...
...หรือบางครั้งไม่มีงาน แต่เป็นวันเดียวที่จะได้หยุดงานเพื่อหายใจบ้าง...
ผมเลยแทบจะไม่ได้กลับไปบอกรักแม่เลย
ใช้วิธีส่งข้อความพร้อมกับโทรไปบอกว่ารักและขอให้แม่มีความสุขมากๆ มีสุขภาพที่แข็งแรง และรวยๆๆๆๆแทน
เพื่อนๆอย่าคิดว่ารูปแบบการกระทำเหล่านี้มันไม่สำคัญนะครับ
หลายคนอาจบอกว่า...ไม่เห็นจำเป็น แค่เป็นคนดีก็พอแล้ว แม่ก็ดีใจแล้ว
นั่นมันก็จริงอยู่...แต่เพื่อนๆลองคิดดูนะครับ
เวลาที่แม่ต้องเดินไปเจอเพื่อนแม่ ที่กำลังปลื้มกับข้อความหรือกำลังโทรคุยกับลูกอย่างน่ารัก
เป็นใครก็ต้องมีแอบเศร้าบ้างแล้วล่ะว่า...แล้วลูกฉันล่ะ
แน่นอนว่าแม่เข้าใจคุณว่าคุณกำลังทำงานหนัก...คุณกำลังเหนื่อย...
แม่เข้าใจคุณเสมอ...
ฉะนั้น...ไอ้เวลาแค่ไม่กี่นาทีที่จะพิมพ์ข้อความแล้วก็โทรหา ไปบอกรักแม่เนี่ย
ผมว่ามันคงไม่ได้กวนเวลาทำงานหรือเวลาพักผ่อนของคุณมากมายหรอกมั้งครับ
(ทุกทีเห็นส่งข้อความ โทรคุยกะแฟนทีละหลายๆชั่วโมงก็ยังทำกันได้)
นะครับ...ให้ความสำคัญกันหน่อย...นะนะ
วันนี้คนเค้าบอกรักแม่กันทั้งประเทศ...คุณไม่อยากเป็นหนึ่งในนั้นเหรอ...ช่ายมะ
สำหรับผมแล้ว....ในวันนี้ผมจะทำอย่างนี้เป็นปกติทุกปี อย่างน้อยๆวันนี้แม่ก็จะสดชื่นที่สุด ยิ้มกว้างกว่าทุกวัน
แต่มีอีกสิ่งหนึ่งนะ...ที่ผมอยากจะให้เพื่อนๆได้ลองทำกันดู...
ผมจะทำเป็นประจำในวันที่ 1 มกราคม หลังจากใส่บาตรตอนเช้าเสร็จ
นั่นคือการกราบเท้าพ่อกับแม่ แล้วขอพรผมทำติดต่อกันมาห้าปีแล้ว
ซึ่งนั่นหมายความว่า...ก่อนหน้านี้ก็ผมเขินและไม่กล้าเหมือนกับเพื่อนๆทุกคนนั่นแหละครับ
นั่นมันอาจเป็นเพราะคนไทยเรามีการแสดงออกเรื่องความรักในครอบครัวค่อนข้างน้อย
ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกครับ..ใครๆก็เป็น(คุณพ่อของผมยังไม่กล้าบอกรักย่าเลย เหอๆๆๆ)
แต่ผมมาเริ่มเปลี่ยนความคิดก็ตอนที่ ได้ไปเห็นภาพเพื่อนของผมคนนึงกำลังก้มกราบเท้าคุณพ่อของเค้าที่เพิ่งเสียไป
มันพูดด้วยน้ำตาว่า...นี่คือครั้งแรกที่เค้าได้กราบเท้าพ่อตัวเองและที่น่าเศร้าก็คือ....มันเป็นครั้งสุดท้ายซะแล้ว
ตั้งแต่นั้นมา...
ผมก็เลยเปลี่ยนความคิด...
เช้ามืดวันปีใหม่..ผมขับรถออกไปซื้อพวงมาลัยสวยๆมารอไว้
ลากน้องชายตัวเองออกมาจากที่นอน แล้วเตี๊ยมกันไว้
พอออกไปใส่บาตรตอนเช้ากลับมา...ก็เริ่มเลย
ทีแรกพ่อกับแม่ก็งงๆครับ...เพราะผมบอกว่าให้มานั่งเรียงกันบนโซฟา(ใครก็ต้องงงแหละ...นี่มันครั้งแรกนี่นา)
แล้วผมกับน้องก็เข้าไปนั่งข้างหน้าแล้วก็ก้มกราบที่เท้า...เล่นเอาพ่อผมสะดุ้งเลยครับ เหอๆๆๆๆ
ทั้งพ่อและแม่ทำตัวไม่ถูก ดูออกว่าเขินมาก แต่พ่อก็เนียน แม่ก็เนียน ทำเป็นหน้านิ่งๆยิ้มๆ(พ่อกับแม่ไม่รู้หรอกครับว่าผมกับน้องก็โคตรเกร็งและเขินเลย)
ในจังหวะที่มือของเรากราบไปแทบเท้าของพ่อและแม่เนี่ย...มันแปลกอย่างครับ...
ผมรู้สึกโล่ง...สบายใจ...เหมือนความทุกข์ทั้งหมดมลายหายไปสิ้น...มันรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกเลย
วินาทีนั้น...ผมอยากให้เวลาหยุดเดิน...แล้วค้างไว้อย่างนั้น...มันรู้สึกดีมากจนไม่รู้จะอธิบายยังไงอ่ะครับ(พิมพ์ไปก็น้ำตาไหลไป...เหอๆๆๆ)
มาได้สติอีกที ก็ตอนที่มีมืออันแสนอบอุ่นลูบลงมาที่หัว....มันอบอุ่นมากๆๆๆ...รู้สึกเหมือนกำลังใจมันเต็มเปี่ยม หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลย
แล้วผมกับน้องก็เงยหน้าขึ้นมารับพรจากพ่อและแม่....แล้วก็กอดกันนิดนึง
ไอ้จังหวะกอดนี่แหละครับ ผมน้ำตาไหลเลย เหมือนเด็กที่ถูกเพื่อนแกล้งมากอดเพื่อให้โอ๋เลย แต่ไม่ได้ร้องออกมานะครับ
มันทำให้รู้ว่า นี่แหละคือคนที่เข้าใจเราตลอดเวลาและเข้าใจเราทุกเรื่อง
เชื่อมั้ยครับว่า....
วันนั้นทั้งวัน...เรายิ้มกันทั้งบ้าน
พ่อกับแม่ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ...ซึ่งไม่ต่างจากผมกับน้องเลย
จากนั้นมา...
ผมก็ทำแบบนี้มาทุกปี...ทำเพราะอยากทำ...ไม่ใช่ทำเพราะต้องทำ....
กำลังใจดีๆที่ทำให้เรามีแรงสู้กับปัญหาที่ถาโถมตลอดทั้งปีก็มาจากตรงนี้แหละครับ
เห็นมั้ยครับว่า...บางทีเรื่องแค่นี้...มันก็ให้ผลดีมากมายกว่าที่ทุกคนคิด
ในชีวิตเราต้องใช้ความกล้ามามากมายหลายเรื่องแล้ว ดีบ้างเลวบ้างแตกต่างกันไป
แต่ทั้งหมดนั่นมันก็แค่เพื่อตัวคุณเอง....
งั้นคราวนี้มาลองใช้ความกล้าที่คุณมีอยู่แล้ว...มาทำให้คุณพ่อและคุณแม่ของคุณมีความสุขกันดีกว่านะครับ
ลองกันดูนะครับ...ไม่มีผลเสียหรอก เชื่อผม
แล้วคุณจะรู้ว่า...คุณและครอบครัวคุณ สามารถ"รัก"กันได้อย่างน่าอิจฉาแค่ไหน
เนอะๆๆ....
(ยิ้ม)




ปล.วันนี้ขอเล่าเรื่องราวดีๆในวันแม่และก็เรื่องความรักในครอบครัวให้ทุกคนยิ้มดีกว่าเนอะ...
เพราะเรื่องอื่นๆ มันไม่มีใครมารู้ดีเท่าเราหรอก...ใช่มั้ยคะ...ดันขึ้นทุกวี.....ดีขึ้นทุกวัน.....
และอีกอย่าง...วันนี้เป็นวันพ่อ...ด้วยล่ะ(ยิ้ม)(ที่จริงก็เป็นวันพ่อมาได้พักนึงแล้ว) และคงจะเป็นวันพ่อทุกวัน ตลอดไป.....(เหอๆๆๆ)

เก็บตก:พอดีดูหนังฝรั่งเรื่องหนึ่ง ที่ตัวละครมันเอาแต่พูดว่า"ฟัก....."เต็มไปหมดทั้งเรื่อง ทุกอย่างมันช่างดูโหดร้าย
ก็เลยคิดว่ามันจะดีกว่ามั้ย ถ้าเราจะเปลี่ยน"ฟ"ให้กลายเป็น"ร"ซะ เรื่องราวมันคงหวานซึ้งน่าติดตามกว่าเยอะเลยเนอะ..เหอๆๆ

ชีวิตนึงเกิดมาแล้ว

ชีวิตนึงเกิดมาแล้ว.....
ต้องใช้มันให้เต็มที่..และรู้จักใช้อย่างคุ้มค่า...
ถ้าคิดว่ามันคุ้ม...(คุ้มหรือไม่คุ้ม..ไม่มีใครรู้นอกจากตัวเราเอง)
ก็ทำไป...อย่าท้อ...
แน่นอนว่าอุปสรรคคงมากมายนัก...
แต่ผลลัพธ์ที่ปลายทาง...มันก็หอมหวานและเป็นสิ่งที่เราต้องการที่สุดมิใช่หรือ
เราอาจจะเสียใจกว่านี้มั้ย...ถ้าไม่เลือกที่จะทำ

หลายครั้ง หลายคราว ที่ไม่มีใครมาเข้าใจ...
เพราะธรรมชาติของคน มักเลือกมองแต่ที่ผลตอนสุดท้าย...เสมอ
ไม่มีใครมาร่วมรับรู้กับเราหรอกว่า...ที่ผ่านมา...
เราเจอกับอะไรมาบ้าง...
ไม่มีใคร...

ถ้าเรื่องที่เค้าไม่เห็นด้วย มันกลายเป็นดีในที่สุด...
...อย่างมากก็คงได้แต่พูดว่า...
...เรามองนายผิดไปจริงๆ...ไม่น่าเชื่อเลย...

แต่ถ้าเป็นเรื่องเดียวกัน......แต่มันล้มเหลว
คนเหล่านั้นก็คงได้แต่พูดว่า...
ก็เราบอกนายแล้ว....นายไม่ฟัง
แล้วตอนนี้จะไปโทษใคร...

จะโทษใครล่ะ...ไม่เห็นมีใครต้องโทษเลย
ในเมื่อการตัดสินใจมันเกิดจากเราเอง...
เราก็ต้องยอมรับมันเอง...
ไม่เห็นจะต้องไปมองหาเลยว่า...จะโทษใครดี

เพราะอะไร หลายคนถึงชอบไปตัดสินคนอื่นว่า...ดี..หรือ...ไม่ดี
ทำไมคนเหล่านั้น..ถึงได้คิดว่า...ตนจะฉลาดรอบรู้ถึงขนาดไปหยั่งรู้จิตใจของคนอื่นได้
แล้วไอ้ที่รู้...คิดว่ารู้จริงๆได้ยังไง...อะไรทำให้มั่นใจขนาดนั้น

แค่ภาพๆเดียวคนสองคนก็ยังมองแล้วรู้สึกต่างกันเลย
โดยรวมอาจดูคล้าย..แต่ในรายละเอียดนั้น..มันแตกต่าง

เพราะคนเราจะสะท้อนความรู้สึกออกมา โดยอาศัยกระบวนการกลั่นกรองในอดีต ว่าอะไรที่มันดี"สำหรับเค้าบ้าง"
หรือ"ไม่ดีกับเค้าบ้าง"เพื่อใช้ในการดำเนินชีวิตต่อไปของเค้าเอง
ซึ่งนั่นไม่ได้หมายความว่า...
ความคิดแบบนั้นมันจะดีหรือไม่ดีกับคนอื่นเสมอไป...
ทั้งนี้มันขึ้นอยู่กับพื้นฐานในอดีตของแต่ละคน...ว่าแตกต่างกันแค่ไหน

เช่น คนที่ผิดหวังกับความรักซ้ำซาก อาจบอกว่าความรักเป็นยาขม ซึ่งนั่นมันก็จริง"สำหรับเค้า"
แต่สำหรับคนที่มีความสุขกับรักที่สดใสอยู่ตลอดเวลา ก็ต้องมองว่า ไม่ว่ามุมไหน"รัก"ก็เป็นเรื่องที่แสนดี"สำหรับเค้า"เสมอ
แน่นอนว่า สองคนนี้คุยกันไม่ได้...เพราะคิดไม่ตรงกัน แต่ก็ไม่มีใครผิดและไม่มีใครถูก ต่างคนต่างเจอสิ่งที่แตกต่างกัน
เพราะงั้นถ้าไม่ทำใจให้เป็นกลาง...ก็ไม่มีวันที่เข้าใจ จิตใจของคนอื่นหรอกครับ

ฉะนั้น...เราไม่สามารถเอาความรู้สึกของเราไปเป็นบรรทัดฐานบอกกล่าวกับคนอื่นได้หรอกครับว่า"ดี"หรือ"ไม่ดี"
..อย่างมากก็ทำได้แค่ ให้ข้อมูลในอีกมุมมองนึงเท่านั้น ว่าไอ้ที่เราโดนเป็นยังไง...
ถือเป็นการให้ข้อมูลเพิ่มเติม..เพื่อใช้ในการตัดสินใจ...ก็เท่านั้นเอง
อย่าคาดหวัง...อย่าโน้มน้าว...
เพราะนั่นคุณกำลังจะให้อีกคนนึงมาเชื่อในสิ่งที่คุณกำลังคิดไปคนเดียว
ซึ่ง...นั่นมันไม่ดีเลย...

ทุกคนที่โตขึ้นและคิดเองได้แล้ว...ควรจะต้องยอมรับกับการตัดสินใจของตัวเองให้ได้...
เพราะนั่น...มันแสดงถึงวุฒิภาวะของการเป็นมนุษย์
ที่จะค่อยๆทำให้ได้เรียนรู้ว่า...อะไรเหมาะกับเค้าที่สุด...อะไรควรทำที่สุด
การที่เราไปบังคับให้เค้าต้องตัดสินใจตามเรา...นั่นถือเป็นเรื่องที่แย่(การพูดกดดัน ก็ถือเป็นการบังคับทางอ้อม)
เพราะในที่สุดถ้ามันพลาดขึ้นมา....เค้าจะไม่เหลืออะไรเลย
เพราะเค้าเชื่อคุณ...(เชื่อเพราะไว้ใจคุณ...ว่าคุณคงคิดดีแล้ว...และรู้อะไรดีแล้ว)
แต่มันก็พลาด...คุณคิดพลาด
คุณก็จะมีคำพูดอันสวยหรูไว้แก้ต่างเสมอว่า...
เราไม่คิดว่านายจะ......ขนาดนี้
(ถ้าไม่รู้แล้วจะมาโน้มน้าวให้เชื่อหาอะไรวะ!!!!!!)...เสมอ...

คำถามสุดท้าย...

แล้วเค้าจะทำยังไง...

ตอนนี้กลายเป็นคนโง่

โง่ตั้งแต่เริ่มเชื่อ...

(ทั้งๆที่เวลาประเมินว่าดีหรือไม่ดี เค้าก็ใช้ใจตัวเองประเมิน.....เพราะเค้ารู้ดีที่สุดว่าเค้ารู้สึกยังไง)
(แต่ก็กลับไปเชื่อคนอื่น...ที่ต่อให้รู้มากยังไง ก็ไม่มีทางจะรู้มากเท่าตัวเค้าเองหรอก...ซะงั้น)

แน่นอน...โทษใครไม่ได้หรอกครับ

ต้องโทษตัวเอง...

ก็ไปเชื่อเค้าเองนี่นา...

ผมบอกแล้วไม่เชื่อ

(ไม่ต้องเชื่อผมนะ)

(เหอๆๆ)

สมองปรู๊ดด เพราะดูดหู

เหอๆๆๆๆ ...เมื่อไม่กี่วันมานี้..
ผมเพิ่งไปซื้อหูฟังคู่ใหม่ เอามาไว้ดูหนัง ฟังเพลงจากโทรศัพท์ เวลาที่ต้องเดินทางไกล
นอกจากจะใช้เดินทางแล้ว ก็ยังใช้ฟังเวลาที่วิ่งออกกำลังตอนเย็นด้วยเป็นบางครั้ง
ผมซื้อมาจากมาบุญครอง...คู่ละเกือบห้าร้อยบาท(จริงๆแล้วราคานี้ก็ไม่ได้ถูกนะเนี่ย)
เป็นหูฟังแบบ"อิน เอียร์"(หรือแบบที่เป็นจุกยางยัดเข้าไปในหูนั่นเอง)ของโซนี่
ตอนทดสอบเสียง...อืม..คุณภาพเสียงก็อยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างใช้ได้นะ
ดี ดี ดี ทุกอย่างดูเหมือนจะดี จะราบรื่น จนมาวันหนึ่ง...
วันที่ผม...ลองเอามันมาฟังเพลงจากโน๊ตบุ๊ค

อืม....เสียงดีครับ...เสียงใสเชียว...เสียแต่ว่า...

....มันดูดหูผมครับ!!!!!!!!

อืม...ฟังแล้วหลายท่านอาจจะนึกไปถึงฉากอีโรติกในหนังหลายเรื่อง
..ที่พระเอกกับนางเอกกำลังโรมรันพันตู ดูดหูกันอย่างดื่มด่ำ(ไม่เกรงกลัวขี้หูกันเล๊ยยยย)
ไม่ใช่ครับ!!!!...(ขอโทษที่ต้องทำลายมโนภาพของท่านที่กำลังเคลิ้ม...แหม่ ตาลอยเชียวนะ)
ไอ้ที่ดูดหูผมน่ะ...ไม่ได้หมายถึงว่า หูฟังมันเกิดมีชีวิตแล้วมาพิศวาทใบหูน้อยๆของผมจนอดใจไม่ได้หรอกนะครับ
แต่ไอ้ที่มันดูดอ่ะ คือ "ไฟฟ้า"ครับ ไฟฟ้าที่วิ่งมาตามสายที่เสียบเข้าโน๊ตบุ๊คนั่นแหละครับ
ดูดได้ดูดดี...ไม่ยอมหยุดเลย...
ส่วนผมน่ะเหรอครับ...ก็ตกอยู่ในสภาพจำยอม ไม่มีทางขัดขืนได้(เสียวแปล๊บๆที่ใบหูตลอดเวลา) ต้องปล่อยให้ไอ้ไฟเจ้ากำดูดอย่างเมามัน
เหอๆๆๆ...ไอ้ครั้นจะทิ้ง แล้วไปซื้อใหม่ก็เสียดายตังค์(ตั้งห้าร้อยแน่ะ...เอาไปเลี้ยงถั่วแปบวังหลังน้องดีก่า)(ที่สำคัญเพิ่งจะซื้อมาแท้ๆเลย)

ผมเลยลองแก้ปัญหาที่ตัวเองดู....โดยคิดในมุมกลับดูบ้าง

อืม..จะว่าไปตั้งแต่เกิดมา ผมก็ยังไม่เคยโดนไฟดูดหูซักที อืม...ไม่แน่นะ มันอาจจะมีความหฤหรรษ์ที่เราไม่รู้ซ่อนอยู่ก็ได้...ใครจะรู้
ก็เลยเลือกที่จะลองซะก่อน....
แต่ลองได้ซักพัก..อืม...เริ่มไม่ไหวแฮะ

...ดูมันจะหฤหรรษ์ตลอดเวลาเลย(เหอๆๆๆ)

เอาวะ...ตัดใจซื้อใหม่แล้วกัน....

(แต่แล้ว...ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้น)

อืม...การที่จะซื้อใหม่เนี่ย..มันง่ายนิดเดียว ทำเมื่อไหร่ก็ได้
เราจะไม่ลองแก้ปัญหาดูก่อนเหรอ...ธรรมชาติสร้างสมองมนุษย์ให้คิดแก้ปัญหาเป็น...ต่างจากสัตว์อื่น
จะไม่ใช้คุณสมบัติอันแสนวิเศษนี้ก่อนเหรอ...
ถ้าไม่เวิร์ค...ก็ค่อยไปซื้อใหม่ก็ได้นี่นา

อืม...จริง....นั่นสินะ

จากนั้น..ผมเลยเริ่มมาดูที่ปัญหา ว่ามันดูดหูผมเพราะอะไร
อืม...เพียงแค่แว๊บเดียวที่เอาปัญหามานั่งวิเคราะห์...
...ในที่สุดผมก็รู้สาเหตุแล้ว ผมได้คำตอบแล้ว

...คือ ในรูปแบบการดีไซน์ของหูฟัง มันมีส่วนที่เป็นโลหะเปลือยอยู่เพื่อเพิ่มความสวยงาม และเป็นจุดที่ไม่มีฉนวน
ไฟมันเลยเล็ดลอดออกมาจากบริเวณนั้น...แค่นั้นเอง

วิธีแก้ก็แค่...ทำยังไงไม่ให้ส่วนนั้นมันมาโดนหูผม...แค่นั้น

ซึ่งเรามีสองทางเลือกคือ...
หนึ่ง...ใส่แบบไม่ให้ส่วนนั้นโดนหู(อืม...ฟังดูยากจัง...ใส่หูฟังแบบไม่ให้โดนหู...ดูเป็นบทกวียังไงไม่รู้)
และสองคือ หาอะไรมาปิดมันไว้ซะ (อืม..จะยากมั้ยเนี่ย)

ทางเลือกแรกดูยุ่งยากและไม่ถาวรเกินไป ผมเลยเลือกทางที่สอง...นั่นก็คือ หาอะไรมาปิดมันซะ ไม่ให้มันโดนหูผมได้อีก...
แต่จะทำยังไงล่ะ...ไม่ให้มันดูน่าเกลียด...อืม...ไม่ยาก(ต้องคิดว่าไม่ยากไว้ก่อนนะครับ)

(พื้นฐานของการคิดอย่างสร้างสรรค์ คือ ต้องคิดว่าคำตอบที่ดีนั้นมีอยู่มากมาย เราแค่ต้องมองมันให้เห็น และเลือกเอาคำตอบที่เหมาะสมที่สุดมาใช้ ..เท่านั้นเอง)

ด้วยความที่เรียนมาสายออกแบบ....นี่เลยไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรนัก
เอาความรู้เรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์มาใช้...บวกกับวัตถุดิบที่มีอยู่รอบตัว

เหอๆๆ......แล้วในที่สุดผมก็ได้หูฟังคู่ใหม่ที่ไม่ดูดแล้ว ที่ทำจากหูฟังจอมดูดอันเดิมบวกกับเทปกาวอีกนิดหน่อย ที่หน้าตาพอใช้ได้ทีเดียว แถมไม่ต้องไปเสียเงินซื้อใหม่อีกต่างหาก

...ถือเป็นชัยชนะของเราเชียวนะครับ...ที่แก้ปัญหาได้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีนะครับ

เห็นมั้ยครับว่า...สมองคนเรามีศักยภาพมากมายขนาดไหน
ยิ่งเวลาที่เจอปัญหาด้วยแล้วล่ะก็...ถ้าเกิดเราเอาชนะมันไปได้นะครับ..สมองของคุณก็จะยิ่งเก่งขึ้นไปอีก

ฉะนั้น เวลาที่เจอปัญหาไม่ว่าเรื่องอะไร ใหญ่หรือเล็ก ก็ให้คิดอยู่เสมอว่า มันมีทางแก้อยู่แล้วนะครับ
เพียงแค่นี้เราก็ไม่ต้อง"หา"ทางแก้อีกต่อไป
...เราแค่จะต้อง"เลือก"ทางแก้ที่มันดีที่สุดเท่านั้นเอง

จำไว้นะครับ...แค่"เลือก"เท่านั้น

ง่ายๆเพียงแค่นี้เอง...ชัยชนะมันก็จะอยู่ข้างๆคุณตลอดไปแล้วครับ

...สู้ๆกันเข้าไว้นะครับ...

...ขอพลังจงสถิตย์อยู่ในตัวทุกคนครับ...

...(ยิ้ม)...




เหอๆๆ....ถั่วแปบนุ่มลิ้น....หอมกลิ่นมะพร้าวฝอยคละเคล้ากับถั่วเหลืองสดใหม่
เรียกน้ำย่อยได้ดีจริงๆๆ....เง้อออออออออออออออออออออออออออออออ

ไปวิ่งกั๊นนนนนนนนนนนนนนนนนนน....(จากโครงการ ว.พ.ก.น.ป.)(ย่อมาจาก)(โครงการ วิ่งเพื่อกำจัดนมเนยและถั่วแปบ)(เหอๆๆๆ)(ยิ้ม)



รับรองได้ ว่าพวกเราไม่ทำร้ายคน

มีคนเคยบอกว่า...
ก่อนที่เราจะออกกำลังกาย....
การที่เราจะทานอาหารเบาๆซักประมาณ 30 นาที
จะช่วยให้เราไม่เหนื่อยจนเกินไปนัก...
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า..เป็นข้อเท็จจริงประการใด
....ด้วยความที่เรียนมาทางสายวิทยาศาสตร์

ผมจึงไม่ยอมให้ความสงสัยนั้นอยู่นิ่ง

โดยปกติแล้วผมจะไปวิ่งที่สวนลุมพินีกับน้องรักเป็นประจำทุกเย็น
วิ่งวันละสองรอบ ได้ระยะประมาณ 5 กิโลเมตร(อ้างอิงจากตัวเลขบอกระยะที่พ่นไว้ที่พื้น)
ถือว่าเป็นระยะทางที่ไม่มากและก็ไม่น้อยจนเกินไปนัก...
...แต่ผมอยากวิ่งได้มากกว่านี้...อยากทำระยะให้ได้มากกว่านี้..เลยลองปรึกษาน้องดูว่า...
เห็นว่า...ถ้าเราทานอาหารก่อนเราจะเหนื่อยน้อยลง..
ซึ่งถ้าสมมติฐานนี้ถูกต้อง...ถ้าเกิดผมกินอาหาร..แล้ววิ่งให้เหนื่อยเท่าเดิม
...มันน่าจะได้ระยะทางที่มากขึ้น...ช่างสมเหตุสมผลดีแท้
ผมกับน้องมีความเห็นตรงกัน....อื้อออออออออออออ

จะรออะไรล่ะ...คำตอบรออยู่ตรงหน้าแล้ว

เย็นนั้น...ผมจัดแจงไปซื้ออาหารเบาๆมาสองอย่าง...
..นั่นคือ...ถั่วแปบและขนมต้มวังหลังอันเลื่องชื่อ(ของโปรดน้องผม)
ซื้อมาอย่างละกล่อง...ได้อาหารเบาๆสมใจ
พร้อมกับเปลี่ยนเสื้อผ้า เป็นชุดเตรียมวิ่งอย่างทรหด ดูเป็นนักกีฬาแสนเท่
แล้วก็ตรงดิ่งไปที่สวนลุมทันที....
สภาพโดยรวม..เราสองคนดูเป็นนักวิ่งที่ดูดีใช้ได้...อาจเพราะพอจะมีทักษะด้านกีฬากันอยู่บ้าง
จะแปลกก็ตรงที่...
เสื้อผ้าก็นักกีฬา...รองเท้าก็นักกีฬา...แต่ดันถือถุงที่ใส่ถั่วแปบและขนมต้มกล่องใหญ่ พร้อมกับน้ำเปล่าอีกหนึ่งขวด
ขัดตาพิลึก...แต่เราก็ไม่ใส่ใจ...ใช่สิ..ก่อนที่กาลิเลโอจะได้รับการยอมรับก็ต้องยอมถูกมองว่าแปลกมาก่อน...อื้อออ
เราจึงตกลงกันว่าวันนี้ จะกินอาหารกันก่อน แต่ยังไม่รู้ว่าจะกินตอนไหนและกินยังไง
ใจผมทีแรกกะว่า...จะเดินวอร์มก่อนหนึ่งรอบ..เพื่ออุ่นเครื่อง...แล้วก็กินกันไประหว่างทาง...
น่าจะเป็นการกินไปย่อยไป...ดูเข้าท่าดี
แต่ก่อนที่ผมจะได้พูดอะไร...

น้องผมก็หันมาถามว่า....เราจะไม่กินกันก่อนเหรอ พี่ปอนด์?(ตาใสปิ๊ง)

อืม...(ผมครุ่นคิด)
...น้องเรานี่ใช้ได้แฮะ...คงอยากรู้คำตอบของเรื่องข้างต้นเอามากๆ...ถึงกับไม่รอเดินก่อนซักรอบ....สมกับที่เรียนสายวิทย์มา...

อืม...จ้ะ...กินกันก่อนก็ดีเหมือนกัน(ผมพูดพร้อมแสดงท่าทางเห็นด้วย)

เลยคิดว่าเราน่าจะนั่งกินกันบนเก้าอี้ยาวสีเขียวข้างทาง...(ใครเคยไปสวนลุมฯคงจะนึกออก)

แต่ดูน้องผมจะใจร้อนกว่านั้น...บอกว่าไปนั่งตรงนั้นดีกว่ามั้ย พี่ปอนด์? พลางชี้มือไปที่ม้านั่งรอบกระบะต้นไม้รูปวงกลม แล้วก็เดินนำไปก่อน

....โอว...น้องผมช่างมีความตั้งใจจริงเสียเหลือเกิน...ทำอะไรต้องทำจริงสินะ...จะบอกพี่อย่างนี้ใช่มั้ย..

พอถึงที่หมาย..เรานั่งทั้งคู่นั่งหันหลังให้ถนน...ถนนที่มีแต่คนที่แต่งตัวแบบเรา..กำลังวิ่งอย่างมุ่งมั่น...เหงื่อโชกไปทั้งตัว
แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เราหวั่นไหว...กับการทดลองในวันนี้...เราเตรียมใจมาดี...
นาทีนั้นผมกำลังจะหันไปหาผู้ร่วมอุดมการณ์...เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้แก่กันและกัน...

ภาพแรกที่ผมเห็น....

น้องรักของผม...กำลังค่อยบรรจงหย่อนถั่วแปบชิ้นเขื่อง เข้าไปในปากอย่างช้าๆ เงียบเชียบและแสนจะเยือกเย็น

เพียงแค่ไม่กี่วินาที ถั่วแปบใหญ่ยักษ์นั้นกลับหายตัวไปในช่องมืด ขอบสีชมพูสด(หรือที่เราเรียกว่าปากนั่นแหละ)อย่างไม่มีวันหวนคืน...

จากนั้นน้องก็มองมาที่ผมด้วยตาที่เป็นประกายกว่าทุกวัน...พร้อมกับคำพูดปลุกใจให้ฮึกเหิม...ว่า...

"..พี่ปอนด์.........................อร่อยอ่ะ"

อืม...ช่างเป็นกลุ่มคำที่สร้างกำลังใจดีแท้.....ผมแอบนั่งซึ๊งอยู่ลึกๆ
แต่น้องรักของผมไม่ยอมหยุดความซาบซึ้งไว้แค่นั้น...

....เธอค่อยๆทยอยลำเลียงถั่วแปบแสนนุ่มชิ้นโตอีกหลายชิ้น เข้าไปที่ช่องทางเดิมอย่างใจเย็น

ผมเองก็ทานเข้าไปบ้างเหมือนกัน...จนเราทั้งคู่รู้สึกว่า...อืม....น่าจะพอแล้วนะ

เรายิ้ม...และสื่อสารกันด้วยตา......."ไปพิสูจน์สมมติฐานกัน"

โดยไม่ต้องมีคำพูดใดๆหลุดลอยออกมา...เราทั้งคู่เรื่มออกวิ่ง...

วิ่ง...วิ่ง...และก็วิ่ง.....

เราวิ่งจนอยู่ในระยะที่แตกต่างจากทุกวัน.....ไม่น่าเชื่อ!!!!

....................ว่าเรา............."จุก".....................

"พี่ปอนด์...น้องปวดท้องอ่ะ....น้องจุก" น้องผมทำหน้าเหยเก

อืม...ก็แน่นอนดิ...ซัดเข้าไปซะขนาดนั้น เอ๊ยยยยย....ไม่ใช่!!
ผมหมายถึงว่า เราอาจวิ่งเร็วเกินไป ไม่สัมพันธ์กับอาหารที่อยู่ในท้องก็เลยจุก(เหอๆๆ)

เราเลยตกลงกันว่าจะเดินสลับกับวิ่งไปเรื่อยๆ เพื่อให้ความจุกคลายลง แล้วค่อยวิ่งกันต่อ

ไม่นานนัก ความจุกเริ่มจางหาย เราก็เลยวิ่งกันได้อย่างปกติ
และแน่นอนว่า...
...วันนี้เราวิ่งได้มากกว่าเดิมหนึ่งกิโลเมตร!!!!....ไม่น่าเชื่อ!!!

หลังจากวิ่งเสร็จเราคุยกันถึงการทดลองวันนี้ว่า...สมมติฐานดังกล่าวนั้น น่าจะพอมีความเป็นไปได้จริง
ผมและน้องมีความเห็นตรงกันว่า.......ถ้าจะให้ชัวร์เราควรต้องลองทดลองอีก แต่ต้องลองเปลี่ยนตัวแปร เพื่อหาอาหารที่เหมาะสมที่สุด

เราจึงตัดสินใจว่า...ครั้งหน้า...เราจะไม่กินถั่วแปบกับขนมต้มอีกแล้ว...

แต่จะเปลี่ยนมาเป็น...

"...ปลาช่อนเผาเกลือกับไก่ย่างสักไม้"ท่าจะดี

และที่จะลืมไม่ได้เลยคือ...

คราวหน้า...ผมจะเอาเสื่อมาด้วย(เต็มที่กันไปเลย)





...ถ้าเกิดเพื่อนๆที่วิ่งอยู่ในสวนลุมฯ สังเกตุเห็นนักวิ่งสองคนที่แต่งตัวโคตรสปอร์ต กำลังนั่งซัดปลาช่อนกันอย่างดุดันและจริงจัง.....
....ก็ไม่ต้องตกใจนะครับ...นั่นล่ะ...คือ"พวกเรา"

"....รับรองได้.....ว่าพวกเราไม่ทำร้ายคน"
...
...
...เหอๆๆๆๆๆ


...ความห่วงใยที่ไร้ค่า...

................ท่ามกลางบรรยากาศที่กรุ่นไปด้วยกลิ่นกาแฟ...อบอวลและหอมสดชื่น...
เพลงบรรเลงเบาๆ..แสงไฟสีส้มจาง..เพิ่มความอบอุ่น..ให้ทุกอณูของคนหลายคู่..อุ่นจนต้องยิ้มออกมาเต็มใบหน้า

..ท่ามกลางบรรยากาศอันแสนนุ่มนิ่มนี้...
...จู่ๆ..เสียงใสๆเสียงหนึ่ง...ก็พุ่งทะลุทะลวงแหวกม่านอากาศออกมาอย่างกระทันหัน....

.........ไอ้..ตานกกระจิบ!! (ทำเสียงเล็กๆ และก็พูดเร็วๆ พร้อมกับหยีตาเล็กน้อย)

.........พี่ปอนด์..ตานกกระจิบ!! (ทำเสียงเล็กๆ และก็พูดเร็วๆ พร้อมกับหยีตาเล็กน้อยอีกครั้ง คราวนี้แก้มและมุมปากเริ่มโค้งขึ้น)

.........ไอ้พี่ปอนด์......(ประโยคที่เหลือถูกดูดกลับเข้าไป เหมือนกับหาวที่ถูกกลืนกิน)

...ไม่มีก้อนเสียงใดตามออกมาอีก...เหลือแต่เพียงรอยยิ้มที่กำลังจะพัฒนากลายเป็นหัวเราะอยู่บนใบหน้า พร้อมกับสายตาที่ฉ่ำเพราะขำ

ผมหยุดข้อความเหล่านั้นด้วยความเอ็นดู....ด้วยคำน่ารักๆ....

....ไอ้อ้วน....ไอ้แก้มย้อยยยยย.....ไอ้แขนลาย.......ไอ้.......(ช่างเป็นกลุ่มคำที่น่ารักเสียจริง)(ผมยิ้ม)

....เหอๆๆ.....มีแต่รอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้าของเราทั้งคู่....

.......................เหอๆๆ...ตลกว่ะ............................


บรรยากาศดูสนุก...ดูน่ารัก...ดูตลกและน่าสบายใจ...รอยยิ้มโปรยไปทั่วร้าน...


จนไม่น่าเชื่อว่า..ก่อนหน้านี้แค่ไม่กี่นาที....บรรยากาศที่แสนอึมครึมและมืดครึ้มจะเข้ามาปกคลุมเรา...............................................จนพูดกันไม่ออก


บางครั้ง...การเราห่วงใครอีกคนมากเกินไป....ก็อาจทำให้อีกฝ่ายรำคาญได้

บางที...การเชื่อในคำพูดของเค้า(คนที่เรารัก)....อาจสำคัญกว่า

เพราะนั่นมันคือการเชื่อใจ...ซึ่งถือเป็นการแสดงความห่วงใยและให้เกียรติกันทางหนึ่ง

จะมีประโยชน์อะไร...ถ้าการห่วงของเรากลับเป็นตัวทำลายบรรยากาศดีๆที่กำลังดำเนินไปอย่างราบรื่น

ทำให้คนที่เรารักกลับรู้สึกแย่...แทนที่มันจะดี....

นั่นถือเป็นการกระทำที่ล้มเหลว...เป็นความห่วงใยที่ไร้ค่า...

ไม่ควรให้มันเกิดขึ้นอีก...

เพราะเรื่องแบบนี้.....ไม่ได้ให้ผลดีกับใครเลย.....

.......................................................